Berbagi Suami: ผู้หญิงกับทางที่ (ไม่ได้) เลือก เพื่อใช้สามีร่วมกัน

  หากพวกเจ้าไม่สามารถให้ความยุติธรรมแก่บรรดา(สตรี)กำพร้าได้ ก็จงแต่งงานกับสตรีที่ดีแก่พวกเจ้า จะสองคน หรือสามคน หรือสี่คน แต่ถ้าพวกเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ก็จงแต่งงานกับสตรีเพียงคนเดียว หรือไม่ก็สตรีที่มือขวาของเจ้าครอบครองอยู่(คือทาสหญิง) นั่นเป็นสิ่งดียิ่งกว่าในการที่พวกเจ้าจะไม่ลำเอียง” (คำแปลบทอัน-นิซาอฺ โองการที่ 3)”

กัญรัตน์ โภไคยอนันต์ สมาชิก ฟิล์มกาวัน

  


 

ผู้หญิงสามคนกับการแบ่ง( ปัน )สามี

 

Berbagi Suami หรือ Love for Share เป็นภาพยนตร์สัญชาติอินโดนีเซีย ที่นำเสนอประเด็นเรื่องการมีภรรยาหลายคน โดยวิพากษ์วิจารณ์ผู้ชายอย่างดุเดือด ผ่านรูปแบบชีวิตสามแบบ โดยนำเสนอตัวละครเอกสามคนที่มีพื้นฐานทางสังคมต่างกัน Berbagi Suami เป็นผลงานกำกับของ Nia Dinata ผู้กำกับหญิงชื่อดังของอินโดนีเซีย เธอเป็นคนที่มีความกล้าในการนำเสนอประเด็นที่ละเอียดอ่อน ต้องห้ามและถูกปกปิดในสังคม Nia Dinata เป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี ค.ศ. 2002 โดยเธอได้รับรางวัล Best Promising New Director และรางวัล Best Art Director ในงาน Asia Pacific Film Festival จากผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่อง Ca Bau Kan (The Courtesan) ซึ่งเป็นภาพยนตร์อินโดนีเซียเรื่องแรก ที่นำเสนอวัฒนธรรมชาวจีนฮกเกี้ยนบนแผ่นฟิล์มโดยก่อนหน้านั้น ในยุคระเบียบใหม่ (New Order) ภายใต้การปกครองของซูฮาร์โต้ การนำเสนอเรื่องราวของชาวจีนบนพื้นที่สาธารณะถือเป็นเรื่องต้องห้าม จากนั้นมา Nia Dinata ได้ผลิตผลงานที่ท้าทายและวิพากษ์สังคมอย่างต่อเนื่อง เช่น Arisan (2003) ภาพยนตร์ตลกร้ายที่นำเสนอเรื่องราวของชายรักร่วมเพศในสังคมอินโดนีเซีย Biola Tak Berdawai (2003) ภาพยนตร์วิพากษ์สังคมชายเป็นใหญ่ผ่านเรื่องการทำแท้ง และ Quickie Express (2007) ภาพยนตร์เกี่ยวกับผู้ชายขายบริการทางเพศ ที่สามารถโทรศัพท์สั่งบริการได้เหมือนสั่งพิซซ่า เป็นต้น  สำหรับ Berbagi Suami นั้น ถือว่าเป็นผลงานที่สร้างชื่อให้กับ Nia Dinata มากที่สุด ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมประจำปี ค.ศ. 2006

อีกทั้งในแง่ของเนื้อหานั้น Berbagi Suami ได้สร้างความสั่นสะเทือนอย่างมากกับการวิพากษ์สังคมที่ชายเป็นใหญ่ของอินโดนีเซีย ทั้งสังคมมุสลิมและสังคมจีน หนังเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์สตรีนิยมที่สะท้อนความรู้สึกของหญิงผู้เป็นภรรยา ในลักษณะของ “คนละเรื่องเดียวกัน” ที่ภรรยาในทุกสถานะต่างประสบพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นการต้องยอมรับสถานะเมียหลวงของภรรยาคนแรก การยอมรับอันดับและยินดีที่จะมีภรรยาลำดับต่อมา ไปจนถึงการเลือกที่จะรับฐานะภรรยาอีกคน แต่บทสุดท้ายภาพยนตร์ก็ได้เสนอคำตอบของชีวิตและทางเลือกให้แก่ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าเป็น “ภรรยา” ได้อย่างสมศักดิ์ศรีตามที่มนุษย์ทุกคนพึงมี 

ครั้งหนึ่ง Nia Dinata ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “การมีสามีหรือภรรยาหลายคนในขณะเดียวกันนั้น เป็นเรื่องที่มีอยู่ในทุกๆที่ มันเป็นเรื่องที่คนที่ทำมักจะปฏิเสธที่จะยอมรับการกระทำนั้น”สำหรับ Nia Dinata แล้ว แม้ผู้หญิงในเรื่องนี้จะมีความรู้สึกที่ต่างกัน \แต่พวกเธอก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ความเสียใจและการปฏิเสธที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้ม”

การมีภรรยาหลายคนของผู้ชาย

 Nia Dinata เลือกที่จะเปิดประเด็นในภาพยนตร์ของเธอ ด้วยการพูดถึงครอบครัวมุสลิมที่เพียบพร้อมไปด้วยทุนทางเศรษฐกิจและสังคม มันเป็นเรื่องราวของครอบครัว Pak Haji นักธุรกิจที่มีหน้ามีตาในวงสังคมและกำลังก้าวลงเล่นการเมืองกับภรรยาของเขา Salma แพทย์หญิงที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ทั้งคู่เป็นสามี-ภรรยามุสลิมที่ปวารณาตนและปฏิบัติตัวตามหลักศาสนาอิสลามเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการละหมาด การไปจาริกแสวงบุญที่นครเมกกะห์ หรือ แม้แต่การอาบน้ำหลังจากมีเพศสัมพันธ์ แต่ดูเหมือนว่า มีอะไรบางอย่างกำลังรบกวนความรู้สึกของผู้เป็นภรรยา Salma ถูกตั้งคำถามระหว่างที่เธอออกรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่งว่า "การมีภรรยาหลายคนของ Pak Haji เป็นการดำเนินชีวิตตามคัมภีร์อัล-กุรอ่าน หรือเป็นเพียงการนำคัมภีร์อัล-กุรอ่าน มาใช้ เพื่อความพึงพอใจของผู้ชายที่ไม่สามารถควบคุมความต้องการทางเพศของตัวเองได้" เธอตอบว่า การมีภรรยาหลายคนของเขาถือตามหลักศาสนาที่ว่า อิสลามอนุญาตให้สามีสามารถมีภรรยาได้สี่คน แต่ต้องดูแลเธอทุกคนอย่างเท่าเทียม 

แล้วในโลกแห่งความเป็นจริงเล่าเป็นอย่างไร ? Pak Haji ดูเหมือนจะไม่สามารถดูแลภรรยาทุกคนได้อย่างเท่าเทียม เขาให้เวลากับบ้านหลังที่ 2 มากกว่า และไม่ค่อยกลับมาบ้านของ Salma สักเท่าไหร่ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น Pak Haji ยังมีภรรยาคนที่สามตามมาอีก เธอคือ Ima เด็กสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับ Nadim ลูกชายที่เกิดจาก Salma Nadim ถาม Ima ว่าทำไมถึงแต่งงานกับพ่อของเขา ? คำตอบคือ เธอชอบที่ Pak Haji มีความคิดก้าวหน้า Nadim จึงได้ย้อนถามไปว่าถ้าคิดก้าวหน้าแล้วทำไมถึงมีภรรยาสามคน ? ไม่มีคำตอบจากปากของเธอ

ส่วนครอบครัวที่สอง คุณอาของ Siti ที่มีภรรยาอยู่แล้ว 2 คน (Sri และ Dwi) พา Siti หญิงสาวจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งในชนบทของชวามายังจาการ์ตา Siti อยากเรียนเสริมสวย แต่สุดท้ายเธอก็ต้องแต่งงานกับคุณอา ซึ่งภรรยาคนที่ 1 และ 2 ของคุณอาก็ยอมรับและสนับสนุนการแต่งงานครั้งนี้ Siti ดูจะกล้าๆ กลัวๆ กับการแต่งงานครั้งนี้ เพราะเธอยังไม่เคยมีความรักกับชายใดมาก่อน ครอบครัวของคุณอาถึงจะเป็นมุสลิมแต่ก็แตกต่างจากครอบครัวของ Salma ผู้กำกับเลือกที่จะนำเสนอความแตกต่างระหว่างสองครอบครัว เราเห็นการประพฤติตนตามแบบแผนอิสลามในกรณีของครอบครัว Salma แต่สำหรับครอบครัวของคุณอา กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม พฤติกรรมห่ามๆ ที่มุสลิมไม่พึงกระทำนั้น รวมอยู่ในครอบครัวนี้ เช่น คืนเข้าหอคืนแรกของ Siti สามีเธอไม่มีการเล้าโลมเธอก่อนมีเพศสัมพันธ์และยังมีเพศสัมพันธ์ในท่ายืน 5 หรือ การมีเพศสัมพันธ์หมู่แบบ หญิงสองชายหนึ่ง ระหว่างคุณอา Siti และ Dwi ภรรยาคนที่ 2 และเมื่อคุณอาหรือสามีของภรรยาทั้งสามต้องไปขับรถให้กับกองถ่ายสารคดีในเหตุการณ์สึนามิ เขาก็ได้ภรรยาคนที่สี่กลับมาเป็นของฝากอีกคน เธอคือ Santi หญิงสาวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิ

ถึงแม้ครอบครัวนี้จะไม่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งระหว่างบรรดาภรรยา แต่ก็มีเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สถานการณ์ภายในครอบครัวต้องเปลี่ยนไป Sri ภรรยาคนแรกไปคลินิกเพื่อคุมกำเนิดและพบว่าเธอมีอาการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ ในขณะที่สามียังคงทำตัวเหมือนจักรพรรดิ จะเรียกใช้ภรรยาคนไหนก็ได้ จะให้เธอคนไหนทำอะไรก็ตามแต่ใจเขา แต่กลับไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่าเขาเป็นคนแพร่เชื้อโรคให้กับภรรยา เขาเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งงานเพราะเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ และบรรดาภรรยาก็ไม่มีใครจะสนใจว่าความรักที่เขามีจะเท่าเทียมกันไหม เพราะมันไม่เกี่ยวกับความรัก เขาเพียงแต่ปฏิบัติกับภรรยาทุกคนอย่างเท่าเทียมกันในเรื่องเพศ เพราะเขาเห็นพวกเธอเป็นเพียงเครื่อง(มือ)สนองอารมณ์ทางเพศเท่านั้น 


���� ความต้องการทางเพศไม่ได้ขึ้นอยู่กับศาสนา

 เรื่องที่สาม กล่าวถึงชีวิตของ Koh Abun ชาวจีน โรมันคาทอลิก ที่ยอมปลอมแปลงเอกสารว่ายังโสดเพื่อที่จะได้แต่งงานกับ Ming สาวเสิร์ฟในร้านเป็ดย่างของเขา ทั้งๆที่เขามีภรรยาอยู่แล้วคือ Cik Linda การนอกใจคู่ครองในศาสนาคริสต์ถือเป็นบาป แต่ Koh Abun ก็ยอมที่จะรับบาปนั้น เพราะเขาไม่ต้องการให้ Ming เป็นของคนอื่น เพราะความสวยและความมีชีวิตชีวาของเธอ เขาจึงซื้ออพาร์ทเม้นต์และรถให้ และเริ่มเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Ming มากขึ้น เมื่อ Cik Linda ไปเยี่ยมลูกสาวที่อเมริกา Koh Abun อ้างว่าที่เขาไม่สามารถหย่ากับภรรยาได้ ก็เพราะเธอเป็นตัวนำโชคให้เขา และเขาก็ไม่ใช่มุสลิมที่จะสามารถมีภรรยาได้สี่คน แต่ได้ให้สัญญาว่าจะบอกความจริงเรื่องแต่งงานกับ Mingให้ภรรยาเขารู้ แต่สุดท้ายแล้ว Koh Abun ก็ย้ายไปอเมริกาพร้อมกับภรรยาและลูกสาวของเขา และ Ming เอง ก็พบความจริงว่า ก่อนหน้าที่ Koh Abun จะมีเธอ เขาก็เคยติดแม่ม่ายมาแล้ว 

สุดท้ายแล้วไม่ว่าผู้ชายจะนับถือศาสนาอะไร จะคริสต์หรืออิสลาม จะทำตัวเป็นมุสลิมที่ดีหรือไม่ เรื่องการมีภรรยาหลายคน หรือการนอกใจนั้น เป็นเรื่องของกิเลสตัณหาของผู้ชายแต่ละบุคคล มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับศาสนา ในสังคมอินโดนีเซียการมีภรรยาหลายคนของข้าราชการระดับสูง นักการเมือง หรือบุคคลที่มีหน้ามีตา ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และบางทีถึงกับมีกฎออกมาบังคับใช้เห็นได้จากฉากที่พิธีกรสัมภาษณ์ Salma และอาจารย์อีกท่านหนึ่ง พิธีกรได้กล่าวว่า คุณคิดว่าสามีของคุณควรได้รับการเลือกตั้งไหม เพราะถ้าเขาได้รับเลือกก็เท่ากับว่า การที่นักการเมืองมีภรรยาหลายคนจะทำให้อินโดนีเซียยอมรับในเรื่องนี้มากขึ้น เหมือนกับที่คนในวงการบันเทิงกำลังทำอยู่ ดังนั้นการที่จะนำหลักศาสนามาสนับสนุน หรือเป็นข้ออ้างในการกระทำของตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะการที่จะแบ่งความรู้สึกได้อย่างเท่าเทียมกันนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก และไม่มีใครสามารถตัดสินได้ว่าจะเท่าเทียมกันจริงหรือไม่

ความรู้สึกของผู้หญิงที่มีสถานะ “ภรรยา"


ภรรยาคนแรกกับความพยายามเพื่อเปิดใจต้อนรับด้วยใจจริง

Salma ผู้หญิงที่ต้องยอมรับสถานะภรรยาคนที่หนึ่ง ความรู้สึกและคำถามแรกของเธอคือ “ ฉันทำผิดอะไร”และเธอยังกล่าวกับสามีของเธออีกว่า “ ชะตาชีวิตของฉันก็เหมือนแม่ของเธอ ” หมายความว่า พ่อของ Pak Haji เองก็มีภรรยาหลายคน ชะตากรรมที่ผู้หญิงต้องยอมรับ Salma ต้องพยายามทำตัวเข้มแข็งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากแต่ความจริง ในจิตใจกลับแบกรับความรู้สึกขมขื่น ทั้งจากการถูกนินทาโดยเพื่อนร่วมงาน คำพูดประชดประชันของลูกชาย การถูกสัมภาษณ์ออกสื่อที่เธอจำเป็นต้องตอบว่า เธอไม่หึงหวงและพยายามประพฤติตนเป็นมุสลิมที่ปวารณาตัวแล้ว แต่สุดท้ายเมื่อ Pak Haji ไม่สบาย เธอต้องคอยต้อนรับเหล่าภรรยาของเขาขณะมาเยี่ยมที่บ้าน และช่วงเวลานี้เองที่ทำให้เธอได้เรียนรู้ที่จะเปิดใจและต้อนรับพวกเขาอย่างจริงใจ 

Sri Dwi Siti และ Santi ภรรยาทั้งสี่คนซึ่งสามารถอยู่ด้วยกันได้ภายในบ้านเดียวกัน มีสามีคนเดียวกันโดยไม่มีปัญหาอะไร ตอนที่สามีขอ Siti แต่งงาน เขาพูดว่า “ภรรยาของฉันทั้งสองก็เห็นด้วย” ซึ่งแสดงถึงความรู้สึกของการยอมรับสถานะการเป็นภรรยาตามลำดับขั้น พวกเธอไม่ได้รู้สึกอิจฉาหรือไม่พอใจ หากสามีของพวกเธอจะมีภรรยาเพิ่มอีกคน ส่วน Siti นั้น เธอพูดถึงคืนส่งตัวเข้าหอคืนแรกว่า “เป็นคืนที่น่ากลัวที่สุด” เธอยอมแต่งงานทั้งน้ำตาพร้อมกับความละอาย ความรู้สึกบาปและความน่ารังเกียจ และสำหรับ Santi ภรรยาคนที่สี่นั้น เธอไม่สนใจว่า ผู้ชายที่เธอแต่งงานด้วยจะมีภรรยาแล้ว หรือการที่เธอจะต้องเป็นภรรยาลำดับที่สี่จะเป็นปัญหาหรือไม่ เธอเพียงแต่พอใจที่เธอจะได้อยู่ “จาการ์ตา” เมืองหลวงอันศิวิไลซ์ก็พอ 

ส่วน Ming สาวเสิร์ฟหน้าตาดี มีลูกค้าหนุ่มๆมาติดพันเธอมากมาย เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เป็นฝ่ายเลือกและมีสิทธิเลือกว่าเธอจะอยู่กับใคร นอนกับใคร แต่แล้ว เธอก็ตัดสินใจเลือกที่จะเป็นภรรยาคนที่สอง โดยแอบมีความสัมพันธ์ลับๆกับ Koh Abun เพราะเขาเข้าใจความต้องการของเธอมากที่สุด ความเข้าใจนี้ไม่ได้หมายถึง ความรัก ความคิดหรือความฝันของอีกฝ่าย แต่เป็นความเข้าใจถึงสิ่งที่เธอต้องการ และเมื่อเขาขอเธอแต่งงาน ตอนแรกเธอตอบว่า ยังไม่อยากแต่งงาน และเธอก็ถามว่า เธอจะได้อะไรในเมื่อเขาก็ไม่สามารถอยู่กับเธอได้ Koh Abun จึงบอกเธอว่าจะให้ทุกอย่างเลย Ming จึงขออพาร์ทเมนท์และรถยนต์ เธอให้เหตุผลว่า ที่เธอขอก็เพราะว่า เธอไม่อยากรัก และไม่ใส่ใจในความรัก และความสบายที่เธอต้องการ เธอก็จะได้ทุกอย่างหากอยู่กับเขา เธอไม่ได้คิดจะทำร้าย Cik Linda แต่เธอแค่เพียงต้องการเงินเพื่อใช้จ่าย หลังจากแต่งงาน Ming คนเดิมก็เปลี่ยนไป ขาดความมีชีวิตชีวา 

Ferman ชายหนุ่มอีกคนที่เคยมาติดพันกับเธอ เขาเป็นผู้กำกับหน้าใหม่และรู้ว่าความฝันของ Ming คือ การได้เป็นนักแสดง เขาจึงมักจะเอาภาพยนตร์มาให้ Ming ดูอยู่บ่อยๆ แต่หลังจากเธอแต่งงาน เธอเริ่มไม่รู้สึกอยากตามล่าหาฝันอีกต่อไป จน Ferman มาชวนเธอไปคัดเลือกตัวนักแสดง เธอได้มีโอกาสไปเรียนการแสดงตามที่ Ferman บอก ทำให้ความคิดว่า อยากเป็นนักแสดงกลับมาอีกครั้ง เธออยากมีทุกอย่างและอยากอยู่กับ Koh Abun แต่แล้วเมื่อ Cik Linda กลับมาจากเยี่ยมลูกที่อเมริกา Koh Abun ต้องกลับไปอยู่บ้าน เขากลัว Ming หึงจึงบอกว่ามันเป็นแค่หน้าที่ Ming รู้สึกได้ถึงความยากลำบากที่จะเป็นเมียน้อยโดยปราศจากความรู้สึกหึงหวง เธออยากให้เขากลับมาและอยากเก็บเขาไว้เป็นของตัวเองคนเดียว แต่สุดท้ายเธอก็ต้องพบกับความจริงที่ว่า Koh Abun ขอ Green Card เพื่อย้ายไปอยู่อเมริกากับภรรยาและลูกของเขาแล้ว และยังได้ขายอพาร์ทเมนท์และรถของ Ming ไปด้วย ความรู้สึกขมขื่น ยินดี และเต็มใจรับสถานะภรรยา ไม่ว่าจะคนแรก คนที่สอง สาม สี่ หรือ ภรรยาน้อยก็ตาม ของผู้หญิงนั้น ทุกคนล้วนมีทางเลือกของตัวเอง บางคนเลือกได้ บางคนไม่เลือก และบางคนไม่มีสิทธิเลือก 

ความรู้สึกของลูกๆ ในครอบครัว Polygamy

Nadim ลูกของ Pak Haji ที่เกิดกับ Salma มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกับพ่อของเขา ตั้งแต่เขาโตพอที่จะรับรู้ว่าสิ่งที่พ่อทำอยู่คืออะไร ด้วยความที่เขาเป็นนักศึกษา เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ มีความคิดที่ไม่ยอมรับการมีภรรยาหลายคนของพ่อ และไม่ชอบการที่นักการเมืองจะสร้างภาพไปแจกของให้กับคนที่ประสบภัยสึนามิอย่างที่พ่อเขาทำ เขาจึงเลี่ยงที่จะต้องอยู่กับพ่อ Nadim มักจะพูดประชดประชันทั้งกับแม่ของเขาเอง และกับบรรดาภรรยาคนอื่นๆของพ่อ แต่สุดท้ายเมื่อพ่อเขาไม่สบาย เขาในฐานะลูกก็ทำหน้าที่ดูแลพ่อเป็นอย่างดีด้วยความเต็มใจ ความโกรธ ความเฉยเมยที่เขาเคยมีก็หายไป ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูกกลับมาดีขึ้น ถึงแม้ Nadim จะไม่ชอบการกระทำของพ่อตัวเอง แต่เขาก็ได้เรียนรู้สิ่งที่สำคัญที่สุดจากการกระทำพ่อของเขาที่เขาไม่ชอบว่า “การมีภรรยาหลายคนมันวุ่นวายขนาดไหน” โดยก่อนที่ Pak Haji จะตาย เขาได้สอนสิ่งที่มีค่าให้กับลูกชายของเขาว่า “เมื่อลูกแต่งงาน จงแต่งแค่คนเดียว หลายคนมันวุ่นวาย”สำหรับบรรดาเด็กๆ ลูกของ Sri และ Dwi ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับพ่อของพวกเขาเหมือนอย่างที่ Nadim เป็น อาจเป็นเพราะด้วยวัยที่ยังเด็ก พวกเขารู้แต่ว่าคำว่า “แม่” คือ คำที่ใช้เรียกผู้หญิงทุกคนในบ้าน และในบ้านของพวกเขาก็มีแม่หลายคน ตอนแรกที่ Siti เข้ามาอยู่ในบ้านใหม่ๆ และยังไม่ได้แต่งงานกับคุณอา ลูกของ Sri ถามว่า ทำไมไม่ให้เรียก Siti ว่า “ แม่ ” Siti ตอบว่า “ เพราะพี่ไม่ใช่แม่ของพวกหนู ” เด็กได้ถามกลับไปว่า “ แม่ Dwi ก็ไม่ใช่แม่ของหนู หนูยังเรียกว่าแม่ได้เลย ” จะเห็นได้ว่าเด็กๆ ของครอบครัวนี้คิดว่า ผู้หญิงที่มากับพ่อและนอนที่บ้านของพวกเขาเป็น “ แม่ ” โดยที่ไม่รู้ว่า “ จริงๆ แล้ว แม่มีความหมายว่าอะไร ”

ส่วนลูกสาวทั้งสองของ Cik Linda กับ Koh Abun หลังจากที่กลับมาจากอเมริกาพร้อมกับแม่ พวกเธอบุกมาที่ห้องของ Ming และรุมต่อว่า Ming พวกเธอบอกว่า “แม่ของพวกเธอดูแล Ming เป็นอย่างดี ทำไม Ming จึงยังมาหักหลังแม่ของพวกเธอได้ คิดหรือว่าพ่อของพวกเธอจะรัก Ming จริงๆ เพราะพ่อเคยหลงแม่ม่ายคนนึงมาแล้ว” พวกเธอรุมด่าจน Ming เป็นลม และ Cik Linda ก็เข้าไปช่วยเพราะความเป็นห่วง การกระทำของลูกสาวทั้งสองคนนั้น จะแตกต่างจาก Nadim เพราะเธอทั้งสองเลือกที่จะตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในฐานะเพศเดียวกัน จะเห็นได้ว่าการมีภรรยาหลายคนนั้น ได้ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว และความรู้สึกของผู้เป็นลูก ไม่ว่าพวกเขาจะโตพอที่จะรับรู้หรือไม่รับรู้ก็ตาม

ความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ

ภายหลังจากที่ยุคระเบียบใหม่ (New Order) ภายใต้การปกครองของนายพล ซูฮาร์โต้สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1998 สิทธิเสรีภาพของสื่อที่เคยถูกปิดกั้นก็เบ่งบาน อินโดนีเซียเข้าสู่ยุคแห่งประชาธิปไตย วงการภาพยนตร์ในยุคนี้ก็คึกคักมากขึ้น อิสระในการนำเสนอมีเพิ่มมากขึ้น การนำเสนอเชิงวิพากษ์ต่อประเด็นต้องห้ามต่างๆ กลายเป็นจุดขายสำคัญของภาพยนตร์อินโดนีเซีย ซึ่ง Berbagi Suami ก็เป็นหนึ่งในนั้น ความหมายในเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิงถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเข้มข้น ประเด็นที่ถูกนำเสนอนั้นได้วิพากษ์วิจารณ์สังคมอินโดนีเซียในเรื่องการมีภรรยาหลายคนที่ทุกคนรับรู้แต่เลี่ยงที่จะพูดถึง 

ในครอบครัวแรก Nia Dinata เลือกที่จะให้ Salma เป็นตัวแทนของความเท่าเทียมระหว่างหญิงกับชาย ในเรื่องการเข้าถึงการศึกษาระดับสูง และการได้ประกอบอาชีพที่อยู่ในระดับบนของสังคม ในเรื่องนี้ Salma จึงมีอำนาจการต่อรองผ่านการศึกษาและอาชีพกับสามีของเธอที่เป็นนักการเมือง นอกจากนี้เธอยังเล่นกีฬาของผู้ชายที่นิยมกันในหมู่ชนชั้นสูงอย่างกีฬาขี่ม้า ในเรื่อง เธอกับลูกชายมักจะออกไปขี่ม้าเป็นประจำ 8 ซึ่งความจริงแล้ว หากเป็นผู้หญิงมุสลิมในเขตที่ยังเคร่งต่อหลักศาสนา กีฬาขี่ม้าเป็นเรื่องของผู้ชายที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิ

ในครอบครัวที่สอง Sri และ Dwi สองภรรยาแสดงออกซึ่งพฤติกรรมเฉกเช่นชายมักปฏิบัติ ทั้งสูบบุหรี่และแอบไปทำการคุมกำเนิด ซึ่งเป็นสิ่งที่มุสลิมไม่ควรทำ รวมทั้งการที่ Dwi และ Siti เป็นผู้หญิงที่รักเพศเดียวกัน เป็นการต่อสู้เชิงอำนาจต่อศาสนาและความคิดแบบชายเป็นใหญ่ (ปิตาธิปไตย) ที่ “ เพศหญิงไม่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง ” แต่พวกเธอ “ ถูกกระทำให้เป็นผู้หญิง ” และภายใต้ความคิดนี้ การจับคู่ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็คือ “ ผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชาย ” แต่เธอทั้งสองได้แหกกฎธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมาในระบบความคิดแบบเดิม เช่น การมีเพศสัมพันธ์ระหว่าง Siti กับคุณอาที่แสดงออกมามีแต่ความน่ารังเกียจและน่าอับอาย แต่การที่ Siti และ Dwi ได้นอนเคียงข้างกันทุกคืน และแอบไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างลับๆในห้องน้ำ ที่ถึงแม้จะเป็นเพียงเวลาไม่นาน แต่ความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมานั้น เป็นความสุขที่เปี่ยมล้นด้วยความรักที่ผู้หญิงทั้งสองคนนี้มีต่อกัน

ส่วน Ming นั้น เธอเป็นหญิงสาวที่หน้าตาสวย ก่อนที่เธอจะเลือกแต่งงานกับ Koh Abun นั้น เธอมีผู้ชายมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาที่ห้องของเธอ เธอสามารถเลือกที่จะมีความสัมพันธ์กับใครก็ได้แล้วแต่ความพอใจของเธอ Ming เป็นเด็กสาวที่มีความฝัน ฝันของเธอคือ การเป็นนักแสดง “ ไม่ใช่แค่การเป็นภรรยาที่มีหน้าที่เพียงแค่คอยปรนนิบัติรับใช้สามี ” ถึงแม้ว่าในตอนแรกๆหลังจากที่เธอแต่งงาน เธอจะเปลี่ยนไป อย่างที่เธอได้พูดว่า “ เธอไม่มีความฝันอีกต่อไปแล้ว ” แต่แล้ว Ferman มาบอกข่าวดีกับเธอเรื่องที่เขาต้องการให้เธอไปคัดตัวนักแสดง ความฝันที่ค่อยๆมอดดับกลับสว่างลุกโชติช่วงขึ้นมา ความฝันเป็นสิทธิที่มนุษย์ทุกคนพึงมี แต่ฐานะความเป็นภรรยานั้นได้ทำให้ความฝันของผู้หญิงตกหล่นหายไป Ming ยังได้เลือกที่จะแอบติดต่อกับ Ferman ระหว่างที่เรียนการแสดงโดยไม่ให้ Koh Abun รู้ ซึ่งเป็นการย้อนทำพฤติกรรมเดียวกันกับที่ Koh Abun ทำกับ Cik Linda

เส้นทางชีวิตของแต่ละคน


รักแท้ไม่ได้มีแค่ชายหญิง

หลังจากที่สามีเสียชีวิตและลูกชายไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ Salma ต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีสามีและลูกเป็นครั้งแรก และเธอก็เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง ให้ความสำคัญกับการมีอยู่ของตัวเองมากขึ้น ส่วน Siti และ Dwi หลังจากพบว่าแท้ที่จริงแล้ว เธอสองคนมีความรักให้แก่กัน ความรักทำให้มีความกล้า พวกเธอตัดสินใจหนีไปจากบ้านหลังนั้น และพาลูกทั้งสองคนของ Dwiไปด้วย เพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน พวกเธอไม่รู้หรอกกว่าจะไปที่ไหน ขอแค่ได้หนีไปไกลๆก็พอ สำหรับ Ming หลังจากที่เธอรู้ความจริงว่า Koh Abun กำลังจะไปอเมริกา เธอเลือกที่จะกลับมาอยู่ในสลัมบ้านของเธอ และมุ่งมั่นเรื่องการแสดง Ming พูดกับคนขับแท็กซี่ หลังจากที่เขาถามว่าทำไมถึงย้ายจากอพาร์ทเมนท์หรูๆ มาอยู่สลัม เธอตอบว่า " ที่ดีๆไม่ใช่ว่าจะมีความสุขเสมอไป " Ming รู้ซึ้งถึงคุณค่าในตัวเองมากขึ้น และยังพูดทีเล่นทีจริงอีกว่า เธอมีดีเกินกว่าจะเป็นเมียน้อย Koh Abun คนที่มีเสน่ห์ล้นเหลืออย่างเธอ น่าจะได้นักการเมือง หรือข้าราชการระดับสูงเป็นสามีมากกว่า แต่ที่สุดแล้ว เธอค้นพบความจริงว่า เธอจะมีความสุขมากขึ้นถ้าไม่ต้องขึ้นอยู่กับใคร จะเห็นได้ว่าตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้หญิงตัวละครหลักของเรื่องต่างก็ได้รับ “ ความเป็นมนุษย์ ” ในตัวกลับคืนมา พวกเธอเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง ทุกคนเลือกที่จะมีความสุข ความพึงพอใจ ในชีวิตเหมือนที่มนุษย์ทุกคนมีสิทธิพื้นฐานตามธรรมชาติในการเลือกชีวิตของตัวเอง และยังได้ “ก่อกบฏ” ล้มระบบความหมายแบบชายเป็นใหญ่ลงอย่างเงียบๆ ไม่ว่าระบบนั้นจะสังกัดอยู่ในกรอบความคิดของศาสนาอะไรก็ตาม แม้กฎหมายสมรสปี ค.ศ. 1974 ของอินโดนีเซียจะอนุญาตให้ผู้ชายสามารถแต่งงานกับภรรยาคนที่สองได้ หากภรรยาคนแรกมีความบกพร่อง เป็นหมัน หรือป่วยหนัก แต่สังคมอินโดนีเซียโดยรวมยังไม่ยอมรับการมีภรรยาหลายคน ตามหลักศาสนาอิสลามนั้นก็บัญญัติไว้ว่า “หากสามีไม่สามารถให้ความเท่าเทียมกันแก่ภรรยาได้ ก็จงมีเพียงหนึ่ง” ความรู้สึกที่เรียกว่า “รัก” หรือ “การดูแลเอาใจใส่” เป็นเรื่องยากที่จะวัดว่าเท่ากันหรือไม่ แต่ถ้านำหลักข้อนี้มาเป็นข้ออ้าง เพียงเพราะไม่สามารถควบคุมความต้องการทางเพศของตัวเองได้นั้น ไม่ว่าจะกำหนด สี่คนหรือมากกว่านั้น ยังไงก็ไม่มีวันพอสำหรับ “ผู้ชายที่เห็นผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศ”

-----------------------------------------------------

เชิงอรรถ 

1 Yuttipong. 2549. หนังตัวแทนประเทศต่างๆ ที่ส่งชิงออสการ์, สาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยม.http://www.popcornmag.com/bbs/index.php?showtopic=2733&mode=threaded&pid..., 16 สิงหาคม 2553

2 JO TEH. 2550. Polygamy is everywhere. http://thestar.com.my/news/story.asp?file=/2007/1/6/nation/16490568&sec=nation, 27 สิงหาคม 2553

การที่อิสลามเน้นเรื่องความสะอาดเป็นที่รู้กันแม้แต่เด็กเล็กผู้เป็นมุสลิมที่ดีว่า ความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา��(อีหม่าม) หะดีษหนึ่งได้สอนเราไว้เช่นนั้นในเวลามีเพศสัมพันธ์นั้น แง่มุมความสะอาดของอิสลามจะเน้นย้ำอย่างมากร่างกายที่สะอาด จะเพิ่มความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณ ( ที่มา: มุฮัมมัด อิมรอน. 2553.http://muslinlanna.ob.tc/-View.php?N=18,17 สิงหาคม 2553

สามีควรปลุกเร้าทางเพศแก่ภรรยาของเขา โดยผ่านการเล้าโลมก่อนที่จะหาความสำราญในการร่วมเพศ ความจริงแล้วเป็นความเห็นแก่ตัวและโหดร้าย ที่ผู้ชายสำเร็จความใคร่ทางเพศของเขาเหมือนสัตว์ โดยที่ผู้หญิงยังไม่มีอารมณ์แต่อย่างใด สิ่งนี้เป็นความไร้ศีลธรรมต่อผู้หญิงอย่างที่สุด (ที่มา: มุฮัมมัด อิมรอน. 2553. http://muslinlanna.ob.tc/-View.php?N=18,17งหาคม 2553

ติบบุนนะบะวีย์ เขียนว่าการมีเพศสัมพันธ์ในท่ายืนทำให้ร่างกายอ่อนแอ และยังทำให้เกิดอันตรายต่อระบบประสาทและเลือดลม การมีเพศสัมพันธ์ในทางยืนยังก่อให้เกิดอาการสั่นอยู่ตลอดเวลา (Ra'sha) สิ่งนี้อาจเป็นเพราะประสาทและระบบประสาทถูกทำลายไปที่มา: มุฮัมมัด อิมรอน . 2553 http://muslinlanna.ob.tc/-View.php?N=18 , 17 สิงหาคม

 2553 อ้างอิงคำสัมภาษณ์Pak Hamam Supriyadi อาจารย์ผู้สอนวิชาภาษาอินโดนีเซีย โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

7 สิทธา เลิศไพบูลย์ศิริ 2550.� กี หนังการเมืองแห่งทศวรรษของอินโดนีเซีย.http://www.thaiworld.org/th/include/answer_search.php?question_id=626, 19สิงหาคม 2553

ที่มา : http://www.thaiworld.org/th/include/answer_search.php?question_id=997

 

ความเห็น

Submitted by คิดอีกอย่าง on

อยากเห็นการหาความสุขทางเพศ เป็นเหมือนกับการแวะกินอาหารนอกบ้าน
ถ้าผัวหรือเมียต่างไม่รู้สึกหึงหวง แม้เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไปหาความสำราญทางเพศกับคนอื่นมาสด ๆ
แบบนี้แหละความเสมอภาคทางเพศจึงจะสมบูรณ์

ฝ่ายหนึ่งจะเอาใครมาอยู่ในบ้าน หรือจะมีหลายบ้าน ถ้าอีกฝ่ายไม่ยินยอมก็เป็นเพียงการตกลงกันไม่ได้
เหมือนเพื่อร่วมห้องพักจะเอาใครมาอยู่เป็นคนที่สาม ก็ต้องฟังเพื่อนร่วมห้องคนเดิม
เมื่อมีคนไม่ยอม ก็ต้องมีการเลือก อาจจะมีความผิดหวังเสียใจ แต่มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่จนจะต้อง
มาฆ่าแกงกันหรือทำร้ายกัน เพราะมันไม่เกี่ยวกับศักดิ์ศรีหรือความรู้สึกอับอายอีกต่อไป เหลือเพียงความรู้สึกของคนที่อยู่ด้วยกันอีกไม่ได้ เหมือนเพื่อนที่เลิกคบหากัน

การนอกใจน่าจะเป็นเพียงการเปลี่ยนใจ ใคร ๆ ก็เปลี่ยนได้ ถ้าจะเจ็บใจกัน
มันก็คงน้อยกว่าให้เพื่อนยืมตังค์แล้วมันไม่ยอมใช้

เรื่องจริงเรื่องหนึ่ง ผัวเป็นหมันแล้วเมียไปแอบมีอะไรกับชายชู้จนเมียท้อง ผัวก็รับเด็กในท้องเมียเป็นลูก
จนถึงวันนี้ลูก 40 กว่าแล้ว ลูกไม่เคยรู้ความจริง ครอบครัวนี้คงไม่เดือนร้อนอะไรในเรื่องแบบนี้อีกแล้ว
เพราะสองตายยายคู่นี้ก็ดูแลกันดี จะว่าผัวคนนี้โง่เป็นควาย แล้วไอ้ผัวที่เจ็บใจเฉือนเมียเป็นชิ้นจนติดคุก
ฉลาดเหรอครั้บ
(เรื่องแบบนี้ แต่เปลี่ยนข้างเป็นผู้ชายเอาลูกเมียน้อยมาให้เมียหลวงเลี้ยงดู เห็นบ่อย ๆ เพื่อนผมก็รายหนึ่งละ
มีอีกรายหนึ่งเมียน้อยตัดพ้อผัวว่า ทำเหมือนเธอมีหน้าที่ผลิตลูกให้บ้านใหญ่ เพราะเมียหลวงเอาไปจดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรมไม่พอ ยังจะขอตัดอำนาจปกครองเธอด้วย)

ทำไมระบบศีลธรรมคนเราจึงไปห้ามเรื่องนอกใจ และก็เน้นย้ำห้ามเฉพาะฝ่ายหญิงเป็นหลัก
ถ้าจะเอาโทษผู้ชายก็เพ่งเอาแต่ชายชู้ เห็นว่าเป็นหัวขโมย แต่ถ้าเป็นผู้ชายหน้าตาดี มีฐานะ มีโอกาส
ถ้าไม่ถึงกับแย่งเมียชาวบ้านไม่เห็นกันว่าจะผิดอะไรนักหนา

สังคมเราน่าจะผ่านพ้นระบบอุปถัมภ์ระหว่างภรรยาสามี เป็นการสมัครใจอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาค
และเรื่องเพศถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ มันก็ควรจะกลายเป็นเรื่องเล็ก ไม่ใช่แต่ได้เอากันแล้วกลายเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกัน หรือเป็นเจ้าชีวิต นอกใจกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจะเอากันถึงเจ็บถึงตาย