A Guerra Da Beatriz ในฐานะบันทึกบนแผ่นฟิล์มเรื่องแรกของ ติมอร์ ตะวันออก สงครามยังไม่สิ้นสุด
การได้ชม อา เกรา ดา บิทรีส (A Guerra Da Beatriz) หรือ สงครามของบีทริส หนังเรื่องแรกของติมอร์ตะวันออก ที่นักแสดงทั้งหมดเป็นชาวติมอร์ตะวันออก ทำให้การเยือนประเทศเกิดใหม่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีความพิเศษเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใดใน ดิลี (Dili) เมืงหลวงของประเทศ เราจะเห็นรูปของผู้หญิงคนหนึ่งในชุดทหาร หน้าตาเคร่งขรึม แววตานิ่งเรียบ สะพายปืน อยู่บนผืนผ้าสีแดง ราวกับ ‘เช เกวารา’ ในภาคของสตรีเพศ ป้ายผ้าประชาสัมพันธ์ดังกล่าวสร้างความสนอกสนใจให้กับชาวติมอร์ตะวันออกไม่น้อย ประชาชนจำนวนมากตั้งตาคอยที่จะชมภาพยนตร์เรื่องแรกของประเทศเรื่องนี้ โดยหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้นมีการจัดรอบพิเศษให้กับแขกผู้ทรงเกียรติทั้งชาวท้องถิ่นและต่างประเทศ ทั้งทูตานุทูต เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล ภรรยาของนายกรัฐมนตรีมาร่วมชม และนอกจากนั้นผู้กำกับก็ยังนำหนังไปฉายในจังหวัดต่างๆเพื่อให้ผู้คนทั่วภูมิภาคได้ดูหนังเรื่องนี้กันอย่างทั่วถึงในรูปแบบของหนังกางแปลง เฉพาะที่เมืองมาเลียนา (Maliana) ในฝั่งตะวันตกของประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการเผาทำลายและสังหารประชาชนของฝ่ายทหารบ้าน (Militia) ที่สนับสนุนอินโดนีเซีย มีผู้ชมกว่า 4,000 คนตลอดสองวันสองคืนของการฉาย ณ สนามฟุตบอลแห่งหนึ่งกลางเมือง
รอบปฐมทัศน์ของอา เกรา ดา บิทรีส ที่ดิลีนั้นฉายที่โรง The Cineplex ในห้าง Timor Plaza ห้างใหม่ในเมืองหลวงกรุงดิลี ซึ่งเป็นโรงหนังที่ลงทุนโดยบริษัทจากอินโดนีเซีย บรรยากาศโดยทั่วไปของโรงหนังแห่งนี้ค่อนข้างที่จะหรูหราเหมือนกับโรงหนังแบบซีเนเพลกซ์ชั้นดีในประเทศอื่นๆ ราคาค่าตั๋วก็สมเหตุสมผล อยู่ที่ 3 เหรียญ หรือ ราว 90 บาท ชาวติมอร์ตะวันออกหลายคนที่มีโอกาสได้พูดคุยต่างบอกตรงกันว่า ยังไม่เคยได้มาลองมาใช้บริการโรงหนังแห่งนี้เสียที กะว่าจะถือโอกาสนี้มาดูหนังเรื่องแรกของชาวติมอร์ในโรงหนังแห่งแรกหลังได้รับเอกราช เป็นครั้งแรกในคราวเดียวกันเลย
เกรา ดา บิทรีส เป็นผลงานการกำกับของ ลุยจิ อักกิสโต (Luigi Acquisto) และ เบตี้ เลอิส Bety Reis ภายใต้การร่วมสร้างของบริษัทจากออสเตรเลีย FairTrade Films และ ติมอร์ตะวันออกในนาม Dili Film Works หนังดึงเค้าโครงมาจากโศกนาฏกรรมรักของชนชั้นชาวนาฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 16 โดยนำมาปรับใช้กับบริบทการต่อสู้ของชาวติมอร์ตะวันออกในตลอดช่วงเวลา 24 ปีแห่งการยึดครองของอินโดนีเซียผ่านชีวิตของหนุ่มสาวคู่หนึ่งและประชาชนกับเหตุการณ์สังหารในหมู่บ้านกรารัส (Kraras) ทางภาคตะวันออกของประเทศ
จุดเริ่มของเรื่องย้อนกลับไปที่เหตุการณ์ในช่วงการเปลี่ยนผ่านของติมอร์ตะวันออก เมื่อประเทศได้รับเอกราชช่วงสั้นๆหลังโปรตุเกสที่ปกครองมายาวนานกว่า 3 ศตวรรษตัดสินใจทิ้งอาณานิคมแห่งนี้ไว้ และก็ถูกอินโดนีเซียที่มีชายแดนติดกันเข้ามายึดครองในปี 1975 เพื่อความปลอดภัยของ บิทริส เด็กสาววัย 10 ขวบ แม่ของเธอจึงเลือกที่จะให้ลูกสาวแต่งงานกับเด็กชายวัยเดียวกันนาม โทมัส (Tomas) ที่เป็นลูกของอดีตศัตรูที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ทั้งสองบ้านต้องหันหน้าเข้ากันเพื่อต้านทานการรุกรานของกองทัพอินโดนีเซีย แต่สุดท้ายก็ถูกทำลายย่อยยับ ทั้งคู่ระหกระเหินเร่ร่อนเพื่อหนีการรุกราน ช่วงเวลานั้นบิทริสฝึกฝนจนรู้จักวิธีการใช้ปืน เธอแข็งแกร่งและปกป้องสามีที่ไม่เป็นงานใดๆเกี่ยวกับใช้อาวุธอย่างเช่นชายคนอื่นในหมู่บ้าน พวกเขาถูกทหารอินโดนีเซียจับและมาตั้งถิ่นฐานที่ กรารัส (Kraras) จนบิทริสให้กำเนิดลูก โดยในระหว่างตั้งครรภ์เธอก็ถูกนายทหารอินโดนีเซียข่มขืน
ราวปี 1983 เป็นช่วงที่อินโดนีเซียกับกองกำลังเรียกร้องเอกราชติมอร์ตะวันออกในนาม ‘เฟรติลิน’ (Fretilin) ทำข้อตกลงหยุดยิง แต่อย่างไรก็ดี มันเป็นช่วงที่ฝ่ายเรียกร้องเอกราชนั้นได้มีการประสานเครือข่ายกันอย่างลับๆ เพื่อฟื้นฟูกองกำลังขึ้นใหม่ ขณะที่ฝ่ายกองทัพอินโดนีเซียเองก็เริ่มทำการข่มเหงประชาชนอีกครั้งอันเป็นการละเมิดข้อตกลง และเมื่อการตอบโต้พร้อม แนวร่วมของ Fretilin จึงจัดการสังหารอินโดนีเซียในวันฉลองวันชาติอินโดนีเซีย 17 สิงหาคม ในหมู่บ้านที่พวกเขาถูกควบคุมโดยกองทัพ และหลังจากนั้นกองโต้ตอบจากฝ่ายกองทัพอินโดนีเซียก็กลายเป็นเรื่องโหดร้ายเกินกว่าที่จะคาดเดา
การสังหารหมู่ที่ กรารัส (Kraras Massacre) เกิดขึ้นหลังจากทหารอินโดนีเซียรุกกลับและเริ่มดำเนินการเอาคืน โดยการสังหารคนแก่และเด็ก รวมทั้งจับผู้ชายทั้งหมดในหมู่บ้านไว้ และนำตัวพวกเขาขึ้นศาลเตี้ยยังริมฝั่งแม่น้ำ เวตูกู (Tahu Bein/Wetuku) จากนั้นเอาปืนเล็งไปพร้อมยิงและบังคับให้ทั้งหมดร้องเพลง โฟโฮ รัมเมเลา (Foho Ramelau) ซึ่งเป็นเพลงของขบวนการ Fretilin เมื่อทุกคนจำเป็นต้องร้อง เสียงที่เปล่งออกมาจำเป็นหลักฐานว่า พวกเขาเป็นแนวร่วมของขบวนการ เป็นกบฏต่ออินโดนีเซีย ทหารอินโดนีเซียจึงสำเร็จโทษทั้งหมดทันที เหตุการณ์สังหารหมู่ในหนังนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของติมอร์ตะวันออกในปี 1983 ซึ่งถือว่าเป็นการสังหารหมู่ครั้งแรกหลังการยึดครอง โดยได้มีการบันทึกเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ว่า มีผู้ชายในหมู่บ้านถูกสังหารไปพร้อมกันเกือบสองร้อยคน จนหมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่รู้จักในนาม “หมู่บ้านแม่หม้าย” หลังจากนั้นบรรดาแม่หม้ายทั้งหลายก็ถูกควบคุมและโยกย้ายถิ่นฐานไปตามทหารอินโดนีเซียตลอดช่วงเวลาการยึดครองจนถึงปี 1999 หลายคนมีลูกกับทหารอินโดนีเซียเพราะถูกบังคับ
ตลอดช่วงเวลานั้นบิทริสยังคงเชื่อว่า โทมัสไม่ได้ถูกสังหารไปพร้อมกับผู้ชายในหมู่บ้าน เธออยู่ด้วยความหวังว่า สามีของเธอยังมีชิวิตอยู่ตลอดมา ภายหลังจากการลงประชามติในปี 1999 ที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือกที่จะเป็นเอกราชจากอินโดนีเซีย อะไรๆก็ดูเหมือนจะกลับคืนสู่สันติภาพอีกครั้ง ทุกอย่างก็ค่อยๆคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่สำหรับบิทริสแล้วฉากชีวิตอันโหดร้ายกำลังเริ่มต้นอีกครั้ง อยู่มาวันหนึ่ง ชายคนหนึ่งอ้างว่าตัวเองคือ โทมัส เดินทางกลับมายังที่หมู่บ้าน และบอกกับทุกคนว่าเขารอดชีวิตจากการสังหารหมู่ครั้งนั้นและได้หนีไปร่วมรบกับขบวนการเรียกร้องเอกราช สามีของบิทริสที่พลัดพรากกันไปสิบกว่าปีกลับมาอีกครั้ง ทุกคนเชื่อเป็นตัวทัสจริงๆ มีเพียงบิทริสเท่านั้นที่สงสัย แต่สุดท้ายเธอหลงรักและมีลูกกับเขา จนวันหนึ่งความแตก และทำให้เขาต้องสารภาพว่าเขาไม่ใช่ โทมัส แต่คือ เดนียล คอร์เตส (Daniel Cortes) ทหารบ้านคนสนิทของปราโบโว นายทหารคนสำคัญของกองทัพอินโดนีเซีย เขาแกล้งทำเนียนเพื่อพยายามจะหลีกเลี่ยงความผิดจากการที่เขานำทหารบ้านรุมทำร้าย ฆ่า และเผาบ้านเรือนของประชาชนที่ลงคะแนนเพื่อเอกราชของติมอร์ตะวันออก เพราะเขาเป็นฝ่ายแพ้แต่ยังอยู่ในประเทศ เขาจึงต้องหาทางเอาตัวรอด เดเนียลเล่าว่า เขาเจอกับสามีตัวจริงของบิทริส ที่กลายเป็นคนเสียสติ และเสียชีวิตในที่สุด ทั้งคู่มีหน้าตาคล้ายกัน เดเนียลจึงสืบประวัติจากโทมัสจนทราบเรื่องราวในครอบครัว และเลียนแบบลักษณะท่าทางต่างๆของเขา และเดินทางกลับมายังกรารัส สุดท้ายแล้ว เดนียล คอร์เตส ก็ถูกจับและต้องได้รับโทษจากความผิดในฐานะอาขญากร แต่สำหรับบิทริสและชาวติมอร์ตะวันออกคนอื่นๆ จะจัดการกับชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร เมื่อพวกสงครามภายในตัวตนเพิ่งจะเริ่มต้น
หลังจากจบรอบฉายในรอบปฐมทัศน์ ผู้ชมต่างรู้สึกซาบซึ้งกับผลงานภาพยนตร์ชิ้นแรกของชาวติมอร์ตะวันออกที่ไม่ใช่แค่บันทึกเรื่องราวการต่อสู้เพื่อเอกราชตมแบบฉบับทางการเท่านั้น แต่ยังช่วยเก็บรายละเอียดของชีวิตผู้คนในระดับล่างที่ต่างร่วมประสบการณ์การต่อสู้อันยาวนานและยังคงได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งนั้นมาจนถึงปัจจุบัน จากที่ได้พูดคุยกับหลายคน ดูเหมือนว่า เรื่องราวชีวิตของบิทริสนั้นไม่ได้ดูจะดราม่าเกินจริงเลยแม้แต่น้อย ชายคนหนึ่งในวัย 50 คนหนึ่งที่นั่งในแถวหลังสุดเล่าว่า การได้มารู้จักกับบิทริสผ่านหนังเรื่องนี้ เหมือนกับว่ามันได้ช่วยฉายหนังย้อนกับไปยังชีวิตของเขาเมื่อครั้งถูกคุกคามจากกองทัพอินโดนีเซีย
มีหลายเรื่องในติมอร์ตะวันออกที่สามารถเป็นบทเรียนให้กับความขัดแย้งอื่นๆในโลก ทุกวันนี้แม้ความรุนแรงจะสิ้นสุดไปแล้ว การสร้างชาติใหม่ได้ดำเนินมาครบหนึ่งทศวรรษ แต่กระบวนการเยียวยาบาดแผลแห่งอดีตยังเพิ่งเริ่มต้น เพราะชีวิตในสงครามว่ายากแล้ว แต่ชีวิตหลังสงครามนั้นยากยิ่งกว่า หลังจากรอบฉายในประเทศ “สงครามของบีทริส” มีกำหนดฉายในเทศกาลภาพยนตร์ที่ออสเตรเลียและอินเดีย ซึ่งก็หวังว่า วันหนึ่งเราจะได้ชมหนังเรื่องนี้ในประเทศไทย ได้เรียนรู้ความหมายของการมีชีวิตว่ามีค่าเพียงใดหากสามารถก้าวข้ามความขัดแย้งมาได้
**หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสารไบโอสโคป ฉบับเดือนธันวาคม 2556