Skip to main content

 

สิทธา เลิศไพบูลย์ศิริ (Film Kawan)
 
 
ภาพยนตร์เรื่อง Pasir Berbisik (2001) เป็นผลงานการกำกับของ Nan T. Achnas ผู้กำกับภาพยนตร์สตรี ผู้ปลุกกระแสการผลิตภาพยนตร์แนวอิสระให้ตื่นตัวอย่างกว้างขวางในอินโดนีเซีย1 เธอก้าวขึ้นมาจากการเป็นผู้กำกับอิสระที่สร้างภาพยนตร์นอกกระแสในช่วงปลายของยุคสมัยการปกครองภายใต้ระเบียบใหม่ (New Order) ของประธานาธิบดีซูฮาร์โต ซึ่งภาพยนตร์ในขณะนั้นได้เริ่มมีการตั้งคำถามกับระบอบการปกครองที่เบ็ดเสร็จ โดยการตั้งคำถามดังกล่าวเกิดขึ้นไปพร้อมกับกระแสการเรียกร้องทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในสังคมขณะนั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเคลื่อนไหวจากมุมของศิลปิน ที่เกิดในระนาบเดียวกันกับกลุ่มทางสังคมอื่นๆ ที่ต่างเรียกร้องประชาธิปไตย และการเมืองแบบเปิด
 
 
Berlian กับ Daya ความสัมพันธ์อันซับซ้อนใน Pasir Berbisik 
ภาพยนตร์ที่อัดไปที่ใจกลางของสังคมแบบชายเป็นใหญ่ในอินโดนีเซีย
 
 
          Pasir Berbisik  เป็นผลงานชิ้นเอกของ Nan T. Achnas ที่สร้างสรรค์ขึ้นเมื่ออำนาจการปกครองของซูฮาร์โตสิ้นสุดลงใน ปี ค.ศ. 1998  ภาพยนตร์เรื่องนี้ของเธอเต็มไปด้วยความซับซ้อนและลึกซึ้ง ในประเด็นการวิพากษ์แนวสตรีนิยม ทั้งการเล่นกับประเด็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของชวา รวมไปถึงการจัดวางให้เรื่องราวในภาพยนตร์ซึ่งเกิดขึ้นในยุคสมัยทศวรรษที่ 60 ซึ่งการปราบปรามคอมมิวนิสต์ดำเนินไปอย่างรุนแรง ภาพยนตร์เรื่องนี้แทรกประเด็นการวิพากษ์อย่างเข้มข้นในทุกอณูของเรื่อง โดยตัวภาพยนตร์ถูกวิพากษ์วิจารณ์และได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากนักวิจารณ์ในระดับนานาชาติ โดยสามารถคว้ารางวัลสาขา Best New Director, Cinematography and Sound จากงาน Asia Pacific Film Festival 2001
 
          ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอความสัมพันธ์อันซับซ้อน ระหว่าง Berlian ผู้เป็นแม่ (นำแสดงโดย Christine Hakim ราชินีภาพยนตร์อินโดนีเซีย) กับ Daya ลูกสาว (นำแสดงโดย Dian Sastrowardoyo นักแสดงหน้าใหม่ในขณะนั้น ซึ่งต่อมาเธอกลายเป็นดาราสาวที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งยุค) ทั้งสองอาศัยอยู่ตามลำพัง ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตชวาตะวันออก ในช่วงยุคทศวรรษที่ 1960 พ่อของ Daya เป็นพ่อค้ายาเร่ที่จากครอบครัวไปนมนาน นับตั้งแต่ Daya ยังเด็ก  ซึ่ง Daya ตั้งตาคอยที่จะพบพ่อสักครั้ง Berlian จึงเลี้ยงดูลูกของเธอตามลำพังด้วยการขาย Jamu ซึ่งเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นหมอตำแยทำคลอดและทำแท้ง ขณะที่ชีวิตของสองแม่ลูกดำเนินไป ก็กลับต้องพลัดพรากจากแหล่งที่อยู่ สืบเนื่องจากความรุนแรงของการสู้รบระหว่างรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย (Partai Komunis Indonesia--PKI)  ที่แผ่ขยายไปยังพื้นที่ห่างไกลในเขตชนบทของเกาะชวา และตามเกาะอื่นๆของอินโดนีเซีย โดยเมื่อย้ายไปยังที่อยู่ใหม่ แม่-ลูกก็พบกับพ่ออีกครั้ง
 
 
          การจัดวางให้ฉากในเรื่องเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งของการเมืองนั้น มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย กล่าวคือ ผู้กำกับเลือกที่จะนำเสนอและสะท้อนชีวิตของผู้คนชายขอบที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในช่วงเวลานั้น มันเป็นชีวิตที่ไร้ซึ่งความแน่นอน การล้มหายตายจากและการที่ต้องย้ายถิ่นไปเรื่อยๆ ของผู้คนในระดับล่าง กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตของพวกเขา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นมุมมองการนำเสนอที่เรามักจะไม่พบในภาพยนตร์ที่ผูกเรื่องไว้กับประวัติศาสตร์การเมืองสักเท่าใดนัก อย่างในกรณีของภาพยนตร์เรื่อง Pengkhianatan G30S/ PKI2 หรือ “การทรยศของขบวนการ 30 กันยายน-พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย” ภาพยนตร์ชวนเชื่อโดยรัฐ ที่กำกับโดย  Arifin C. Noer ในปี ค.ศ. 1984 สร้างให้คอมมิวนิสต์เป็นปีศาจต่อสู้กับทหารที่เป็นคนดี และพูดถึงความสามารถของรัฐในการปราบปรามสิ่งที่รัฐเห็นว่าเป็นภัยคุกคาม แต่กลับพูดถึงผลกระทบที่มีต่อประชาชนในระดับล่างน้อยมาก ซึ่งในแง่นี้ เราจะพบว่าผู้กำกับส่วนใหญ่ที่จับประเด็นประวัติศาสตร์ เพื่อถ่ายทอดในภาพยนตร์ มักจะเป็นผู้ชายและพวกเขาก็เลือกที่จะถ่ายทอดมุมมองทางประวัติศาสตร์แบบเพศชาย ที่รายละเอียดมักจะเป็นเรื่องความสำคัญของคนในระดับบน ดังนั้น Pasir Berbisik จึงมีลักษณะเด่นมากเป็นพิเศษ กล่าวคือ ไม่ใช่แค่นำเสนอชีวิตของผู้คนระดับล่างในฉากประวัติศาสตร์การเมืองระดับชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องราวชีวิตของเพศหญิงอีกด้วย ที่ถือว่าเป็นกลุ่มที่แบกรับผลกระทบจากความรุนแรงทางการเมืองโดยตรง เพราะพวกเธอคือคนที่อยู่เบื้องหลัง หากผู้ชายในครอบครัวต้องล้มหายตายจากเพราะความรุนแรง
 
          ความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่าง Berlian กับ Daya เผยให้เห็นจากลักษณะของตัวละครอย่างชัดเจน Berlian รักลูกสาว แต่ขณะเดียวกันก็เข้มงวดและเล่นบทแม่ที่ดุ คอยควบคุมและห้าม Daya ที่อยากรู้อยากเห็นในเรื่องต่างๆ โดยเธอเลือกที่จะเป็นผู้ปกป้องคุมครองลูกสาวให้ห่างจากการเลี้ยงดูของพ่อ ที่เป็นเสมือนตัวแทนของสังคมชายเป็นใหญ่ที่กดทับเพศหญิง ในแง่นี้หากพิจารณาจากลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวชวา จะพบว่าผู้หญิงนั้นเป็นศูนย์กลางของครอบครัว อย่างไรก็ดีตัวของ Berlian ก็หาใช่แบบอย่างตามมาตรฐานของผู้หญิงชวาที่ดี เพราะเธอเลี้ยงลูกด้วยการรับจ้างทำแท้ง
 
          Berlian เองมีลักษณะของแม่ที่เข้มงวดแบบสุดโต่ง เธอเรียก Daya ว่า “Anak” ที่แปลว่า “ลูก” ไม่เรียกชื่อของลูก ซึ่งมีความหมายว่า “พลังอำนาจ” ซึ่งสะท้อนภาวะของการควบคุมในความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก Berlian เลือกที่จะกันไม่ให้ Daya เข้าใกล้สิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย ซึ่งในที่นี้ก็คือเรื่องเพศ เช่น เธอมักจะห้ามไม่ให้ Daya ดูเธอขณะกำลังทำคลอด และไปเล่นใกล้กับหลุมฝังศพของเด็กที่ตายเพราะการทำแท้ง  เธอพยายามที่จะไม่ให้ Daya เข้าใกล้งานของ Delima ผู้เป็นน้า ที่มีอาชีพเต้นรำ Tayub กับผู้ชาย ซึ่งการเต้นรำประเภทนี้เป็นวัฒนธรรมของชาวชวา การเต้นถูกออกแบบให้มีการสัมผัสทางร่างกายค่อนข้างมาก ภายหลังจากเต้นเสร็จแล้ว ผู้ชายจะเอาเงินใส่เข้าไปชุดชั้นในของนางรำ คนส่วนหนึ่งมองว่าการเต้นรำประเภทนี้ ผูกติดอยู่กับโลกของผู้หญิงให้บริการทางเพศค่อนข้างมาก 3 ในแง่นี้ อาจจะกล่าวได้ว่าผู้กำกับต้องการจะวิพากษ์พื้นฐานทางวัฒนธรรมดั้งเดิมบางอย่าง ที่เอาเข้าจริงแล้ว เป็นส่วนผสมสำคัญที่ทำให้ฐานะและบทบาทของผู้หญิงถูกกดทับ และถูกอธิบายไว้คู่กับสิ่งชั่วร้าย เพราะฉากหลังจากนั้น ก็ปรากฏว่า Berlian เผาชุดเต้นรำที่ Daya ได้จากน้าสาว ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้ลูกของเธอฝักใฝ่ในกิจกรรมสำราญที่บำเรอให้กับชาย
 
          ลักษณะการเป็นผู้ควบคุมและกำหนดความเป็นไปของผู้อื่น ดังปรากฏในตัวของ Berlian เป็นรูปแบบของการนำเสนอตัวละครผู้หญิงที่ต่างไปจากรูปแบบของตัวละครหญิงในภาพยนตร์ในยุคระเบียบใหม่ ที่มักจะเป็นไปในลักษณะของการเป็นผู้สนับสนุนและอ่อนน้อมดังที่กล่าวไปข้างต้น
 
           การกลับมาของตัวสามี หลังจากสองแม่ลูกย้ายไปตั้งถิ่นฐานแห่งใหม่ สร้างความรำคาญใจให้กับBerlian เพราะเขาเข้ามาแทนที่บทบาทเดิมของเธอ และดูเหมือนเขาค่อยๆพราก Dayaไปจากเธอทีละนิดๆ จนในที่สุดเขาก็หลอกล่อ Daya ไปขายให้กับพ่อค้าคนหนึ่ง ซึ่งนี่ถือเป็นจุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง เมื่อพ่อค้าเกลี้ยกล่อมให้ Daya สัมผัสร่างกายของเธอเอง เรื่อยไปจนถึงหน้าอกและใต้กระโปรงของเธอ และพ่อค้าก็ดื่มด่ำและสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองต่อหน้า Daya โดยมีพ่อรออยู่ด้านนอก สาวน้อยตกอยู่ในเงามืดของอำนาจผู้ชาย ไร้ซึ่งอำนาจในการต่อรอง คนหนึ่งเป็นพ่อของเธอเอง อีกคนเป็นพ่อค้าผู้ซื้อเธอมาจากพ่อ อายุของเขาสามารถเป็นพ่อของเธอได้เลย ฉากความรุนแรงทางเพศนี้ เผยให้เห็นถึงภาวะที่ผู้หญิงถูกทำให้เป็นเหยื่อ ซึ่งผู้กระทำนั้นก็เป็นคนใกล้ตัว เป็นคนที่เหยื่อไว้เนื้อเชื่อใจ ในแง่นี้สะท้อนภาพความเป็นจริงของการละเมิดทางเพศโดยรวม ที่จำนวนมากเกิดขึ้นระหว่างบุคคลใกล้ชิด แม้ Daya จะมิได้ถูกฝ่ายตรงข้ามกระทำบนร่างกาย (ซึ่งนั่นน่าจะเป็นความตั้งใจของผู้กำกับ เพราะการละเมิดทางเพศ ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นผ่านการสัมผัสของร่างกายของสองฝ่าย) แต่ก็ทำให้เธอบอบช้ำทางจิตใจอย่างแสนสาหัส Berlian สังเกตเห็นความผิดปกติ และเธอก็ตัดสินใจที่จะลงโทษสามีด้วยการวางยา ปลิดชีพผู้ชายที่ย่ำยีลูกสาวของตัวเอง ในตอนท้าย Berlian ตัดสินใจที่จะปล่อย Daya เป็นอิสระ โดยขอให้เธอละทิ้งหมู่บ้านแห่งนี้ไปเสีย และเธอก็เรียกลูกสาวด้วยชื่อเป็นครั้งแรก ในด้านหนึ่ง การจากลาของแม่-ลูก เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ Daya จะเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยทิ้งความเลวร้ายที่เธอได้ประสบเอาไว้เบื้องหลัง ซึ่งโครงเรื่องลักษณะนี้ เราแทบจะหาไม่ได้จากภาพยนตร์ยุคก่อนหน้าเลย
 
 
          จะเห็นได้ว่าคำอธิบายหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ จัดวางให้ผู้หญิงเข้าไปอยู่ในใจกลางของเรื่องอย่างชัดเจน เป็นศูนย์กลางแห่งการวิพากษ์สิ่งแปลกปลอมและความชั่วร้ายที่อยู่รอบๆ ตั้งแต่เรื่องการเมืองจนไปถึงเรื่องวัฒนธรรม ซึ่งจะมีเพศชายเป็นเป้าสำคัญของการโจมตี อย่างไรก็ดี การใช้สัญลักษณ์ที่มีอยู่อย่างเกลื่อนกลาดในภาพยนตร์เรื่องนี้ เพิ่มความซับซ้อนในการทำความเข้าใจในบริบทของเรื่องเป็นอย่างมาก เช่น กรณีการเสียชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านที่ถูกคลื่นทะเลซัดมา และนำไปสู่การย้ายถิ่นของผู้คนในหมู่บ้านนั้น ดูเผินๆอาจจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องของโรคระบาด แต่เอาเข้าจริง นี่อาจจะเป็นการใช้สัญลักษณ์แทนเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์การปราบปรามผู้ที่ถูกสงสัยว่าเป็น และให้การสนับสนุนคอมมิวนิสต์ในอินโดนีเซียในช่วงเวลานั้น4 ที่ผลของมันสร้างความเดือดร้อนและความหวาดกลัวให้กับประชาชนคนธรรมดาอย่างมาก จนพวกเขาไม่ต้องการที่จะทิ้งอะไรไว้ในยามที่ต้องย้ายถิ่นไปยังที่อื่น ซึ่งหากเราคุ้นเคยกับประเด็นคอมมิวนิสต์ในอินโดนีเซียนั้น ก็จะพบว่าการเล่นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้ในที่สาธารณะนั้นไม่ง่ายนัก มันยังคงเป็นประวัติศาสตร์บาดแผล เป็นความจริงอันไม่น่าอภิรมย์ ที่สังคมเลี่ยงที่จะพูด แม้ว่าพื้นที่แห่งสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นจะเปิดกว้างก็ตาม แต่การจงใจไปแตะเรื่องที่ยังไม่ชำระ และละเอียดอ่อน อาจจะทำให้ศิลปะในการใช้สัญลักษณ์ถูกนำมาใช้อย่างมากมายในงานชิ้นนี้
 
โดยรวมนั้น Pasir Berbisik ถือเป็นหลักหมายสำคัญของการวิพากษ์แนวสตรีนิยมแบบเข้มข้น ในภาพยนตร์อินโดนีเซียหลังยุคระเบียบใหม่ จะพบว่าการก่อร่างสร้างตัวในการวิพากษ์ จะเพิ่มความหนักแน่นและหลากหลายไปยังแง่มุมอื่นๆในสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ  หลังจากภาพยนตร์ออกฉาย หลายคนมองว่าความหนักของภาพยนตร์เรื่องนี้ เอาเข้าจริงแล้วก็สะท้อนความเร่าร้อนที่จะลิ้มรสเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของผู้คนในยุคหลังระเบียบใหม่นั่นเอง
 
 
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
 
1 Independent Eyes on Film Jakarta Globe Lisa Siregar | August 19, 2010 http://www.thejakartaglobe.com/entertainment/independent-eyes-on-film/391819
 
2 ในช่วงที่ซูฮาร์โตยังเรืองอำนาจ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกฉายในทุกค่ำคืนของวันที่ 30 กันยายนของทุกปี ทางสถานีโทรทัศน์ของรัฐ TVRI (Televisi Republik Indonesia) และนักเรียนทุกคนก็จะถูกบังคับให้ต้องไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้
 
3 Singgir Kartana, "'Tayub' dance moves with the times," URL: http://www.thejakartapost.com/news/2003/01/24/tayub039-dance-moves-times.html 
 
4 การกวาดล้างสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียและผู้ต้องสงสัยที่เกิดขึ้นระหว่างปี 1965-1966 นั้น มีการประมาณจำนวนผู้เสียชีวิตไว้แตกต่างกันมาก  ตามคำอธิบายของแต่ละฝ่ายนั้น มีตั้งแต่ 200,000 -1,000,000 คน

 

 

 

*เผยแพร่ครั้งแรกใน http://www.thaiworld.org/th/include/answer_search.php?question_id=1055

บล็อกของ Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)

Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)
 A Guerra Da Beatriz ในฐานะบันทึกบนแผ่นฟิล์มเรื่องแรกของ ติมอร์ ตะวันออก สงครามยังไม่สิ้นสุด
Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)
อิโล อิโล (Ilo-Ilo) :  สิงคโปร์-ฟิลิปปินส์ เกิด ตาย และการอยู่ร่วมกัน ในวันที่เราหลงลืมอะไรบางอย่าง 
Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)
ภาพยนตร์เวียดนาม เมื่อรัฐออกแบบไม่ได้ Film  Kawan
Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)
มรกตวงศ์ ภูมิพลับFilm Kawan (ฟิล์ม กาวัน)  
Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)
 จิตรลดา กิจกมลธรรม (Film Kawan) 
Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน)
  หากพวกเจ้าไม่สามารถให้ความยุติธรรมแก่บรรดา(สตรี)กำพร้าได้ ก็จงแต่งงานกับสตรีที่ดีแก่พวกเจ้า จะสองคน หรือสามคน หรือสี่คน แต่ถ้าพวกเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ก็จงแต่งงาน