Skip to main content

 

องค์ บรรจุน

ธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ "ใครถึงเรือนชานต้องต้อนรับ" หัวเรื่องที่จั่วไว้ด้านบนบทความนี้ ถือเป็นคุณสมบัติอันน่าภาคภูมิของคนไทยอย่างหนึ่ง คนไทยทั้งผองเชื่อกันว่าคนไทยมีข้อดีงามหลายอย่าง เป็นต้นว่า โอบอ้อมอารีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กตัญญูรู้คุณ ซื่อสัตย์สุจริต ยิ้มสยาม หรือแม้แต่ "รักสามัคคี" และ "ไทยนี้รักสงบ..." ล้วนเป็นความดีเด่นประจำชนชาติไทยตามลัทธิอัตตานิยม "คนไทยดีที่สุดในโลก" ดังนั้นเมื่อหมอดูทำนายคนไทยหน้าไหนก็ตามว่าเป็นคนดีดังกล่าวข้างต้น จึงไม่มีใครปฏิเสธว่าหมอดูไม่แม่น

แท้จริงแล้ว คุณสมบัติของสัตว์สังคมเหล่านี้ไม่ได้มีเฉพาะในสันดานคนไทยเท่านั้น ชนใดไหนอื่นเขาก็มีน้ำจิตน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น ครั้งหนึ่งได้ชมรายการสารคดีทางโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก ภาพชนเผ่ากลางทะเลทรายตะวันออกกลางที่กุลีกุจอยกน้ำชานมแพะและของว่างออกมารับรองนักเดินทาง เมื่อไปบ้านเพื่อนชาวจีนเขาก็มีธรรมเนียมการต้อนรับด้วยน้ำชาและขนมแห้ง บางคนมองว่าความสัมพันธ์ในแบบใสซื่อประสาคนบ้านป่าบ้านดงเป็นลักษณะของคนทางตะวันออกมากกว่าคนตะวันตก เมื่อมีคนแปลกหน้าซัดเซพเนจรมาถึงหน้าบ้านค่ำมืดดึกดื่น คนทางตะวันออกอย่างเราก็จะเปิดประตูด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ เรียกขึ้นเรือน ยกเชี่ยนหมาก ขันน้ำฝน และสำรับกับข้าวออกมาคะยั้นคะยอให้กินแม้ไม่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้า ดังที่คนเก่าคนแก่ได้สั่งสอนกันมาตลอดว่า หากเราไปขึ้นบ้านไหน เขายกข้าวคำน้ำขันให้กินแล้วอย่าได้ลืมคุณเขา แม้แต่โจรผู้ร้ายสมัยก่อนทั้งที่ตั้งใจเข้าปล้นแต่เมื่อเจ้าของบ้านไม่ทันรู้เรียกกินข้าวกินน้ำ ทั้งหัวหน้าและสมุนโจรขัดไม่ได้ก็พากันกินเสียอิ่มแปร้แล้วก็ปล้นไม่ลง จนเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาในหลายคุ้งน้ำ

คนทางตะวันตก
"เท่าที่เรารู้จัก" จากหนังฝรั่งหรือการไปเที่ยวชั่วครู่ชั่วยาม เขาอยู่กันแบบสังคมเมือง มีพิธีรีตองตามขนบธรรมเนียมอย่างของเขา คนที่คุ้นเคยกับฝรั่งมังค่าพูดกันว่าคนตะวันตกเขาก็ต้อนรับขับสู้แขกไม่ต่างจากเรา ใครมาถึงบ้านเรือนก็ต้อนรับเหมือนกัน แต่ด้วยวัฒนธรรมที่ต่างกัน อย่างธรรมชาติการกินอาหารของเขานั้นจัดเตรียมเอาไว้แบบพอดีคนในครอบครัว บดมัน ย่างเนื้อ ปรุงสลัด ปิ้งขนมปัง และคั้นน้ำส้มพอดีคน เมื่อแขกไปใครมาเขาจึงไม่อาจเรียกกินอาหารร่วมสำรับได้ โดยเฉพาะการไปถึงที่ไม่ตรงมื้ออาหาร ลำพังความคิดของผู้เขียนเชื่อว่าหากจำเป็นจริงๆ เช่นหลงทาง อดน้ำและอาหารกำลังจะตาย เจ้าของบ้านก็น่าจะพอปิ้งย่างอาหารเลี้ยงแขกได้เพียงแต่ต้องใช้เวลามากสักหน่อย ต่างจากครัวทางตะวันออกเราที่หุงข้าวต้มแกงกันทีด้วยหม้อใบเขื่อง ยิ่งหากนานครั้งได้เนื้อได้หมูอย่างดีมาก็อดคิดถึงญาติพี่น้องเพื่อนบ้านไม่ได้ เมื่อแกงสุกก็ตักใส่ชามแจกกันไปหลายหลัง กินกันในครัวเรือนแล้วยังมีเหลือกินมื้อหน้าได้อีก หากเพื่อนบ้านมีแกงดีก็ให้แบ่งปันกลับมา เรียกว่าแกงหม้อใหญ่อย่างเดียวแต่กลับมีแกงกินหลายอย่างและไม่รู้จักหมด เพราะวันหน้าหากเพื่อนบ้านมีแกงดีๆ ให้ตอบแทนมาบ้าง

สมัยเด็กๆ แม่พูดเสมอว่าต้องหุงข้าวต้มแกงไว้ให้มาก เหลือดีกว่าขาด โดยเฉพาะมื้อเย็นแม้กินอิ่มทุกคนแล้วก็ต้องมีข้าวสุกเหลือติดก้นหม้อไว้สักทัพพีเป็นอย่างน้อย แม่บอกว่า

"เวลานอนหลับ ขวัญ (ที่อยู่ในตัว) ของเราจะออกมาหาอาหารกิน ถ้าในหม้อไม่มีข้าวเหลือเลยขวัญต้องออกไปหากินไกลๆ ไปเจออะไรตกอกตกใจ (ขวัญหนีดีฝ่อ) หรืออาจหลงทางไป (ขวัญหาย) เราก็จะไม่สบาย..."

ตอนผู้เขียนเป็นเด็กเชื่อฟังและทำตามคำแม่ไม่เคยฝืน บ่อยครั้งถามแม่ว่าเพราะอะไรก็มักได้รับคำตอบว่า
"คนโบราณเขาว่ากันมาอย่างนี้" จึงเท่ากับว่าไม่เคยมีคำอธิบายใดๆ ที่ชัดเจนไปกว่านี้ แต่ก็ทำตามกันมาและเลิกคิดที่จะถาม เมื่อโตขึ้นจึงเข้าใจไปเองว่า คนโบราณเขาคงคิดห่วงญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน หรือคนเดินทางไกลซึ่งอาจหลงทางหรือมาถึงเอาค่ำมืดดึกดื่นจะได้มีข้าวปลาคลายหิว ครั้นจะหุงใหม่ก็อาจช้าไม่ทันกิน ซึ่งการจะปล่อยให้เหลือไว้ก็ไม่ได้สิ้นเปลืองอะไร เช้าขึ้นมายังไม่บูดเน่าผัดน้ำมันกับกระเทียมเสียหน่อยก็กินได้อร่อย หนักหนานักก็เทให้ไอ้ด่างกิน

ที่เล่ามาเสียยืดยาว เกิดจากความประทับใจที่ได้ไปนั่งกินอาหารปักษ์ใต้ที่นครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานีเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตลอด ๕ วันที่ท่องไปในสองเมืองนี้ ไม่ว่าจะเข้าร้านอาหารเพิงหมาแหงนริมทาง ตึกแถวในปั๊มน้ำมัน หรือตามโรงแรม ก็มีธรรมเนียมรับลูกค้าทุกคนเท่าเทียมกัน ทันทีที่แขกนั่งลง เจ้าของหรือเด็กในร้านจะเสิร์พด้วยน้ำเย็นก่อน ตามด้วยจานหรือถาดผักเหนาะ (ผักกินกับน้ำพริกหรือแกงเผ็ด) สดล้นพูน พร้อมน้ำพริกกะปิวางตรงหน้า ก่อนจะรอจดรายการอาหารหรือตะโกนถามว่าต้องการอะไรบ้าง มีหลายอย่างที่รสชาติเฉพาะแบบแกงใต้ แนะนำสักหน่อยก็ได้ เช่น แกงไตปลา แกงเหลืองปลากระพง คั่วกลิ้ง แกงคั่วกระดูกหมูอ่อน สะตอผัดกุ้ง แต่ละชามกลิ่นรสร้อนแรงขึ้นจมูก

 

ผักเหนาะนับ ๑๐ ชนิด หน้าตาแปลกฟังชื่อไม่คุ้นหูหลายอย่าง ผักมันปู ผักหมุย ผักเหลียง ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดมะกอก สะตอ ลูกเนียง ขมิ้นชันอ่อน ผักกูด หน้าตาน่ากิน ลองหยิบใส่ปาก กรอบ บางชนิดมัน บางชนิดออกเฝื่อนขมปลายลิ้นแต่กินได้ทุกชนิด กินกับน้ำพริกกะปิรสจัดหอมฉุย ไม่ต้องสั่งกับข้าวอื่นเลยยังได้ จากการตระเวนไปหลายวันทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติมว่า ยิ่งออกไกลจากตัวเมืองยิ่งได้กินน้ำพริกดีรสดั้งเดิม แต่หากยิ่งเข้าใกล้ตัวเมืองรสน้ำพริกยิ่งหวานมากขึ้นเท่านั้น คาดว่าคนตำน้ำพริกคงเตรียมรอท่านักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ ที่ตั้งข้อสังเกตอย่างนี้เพราะคนปักษ์ใต้นั้นไม่กิน (กับข้าว) หวาน เอาเข้าจริงแล้วรอบบ้านเรา จีนอินเดียลาวพม่ากัมพูชามาเลเซีย ในบ้านเราเอง ภาคเหนืออีสานใต้กลางออกตกก็ไม่มีใครกินหวาน บางคนจึงสงสัยว่าอาจเป็นค่านิยมที่มาจากในรั้วในวัง จนชาววังบางคนต้องออกมาแก้ตัวว่าไม่ใช่ แล้วใครกันที่กินหวานจนกลายเป็นค่านิยมที่แสนเลี่ยนของคนกรุงเทพฯทุกวันนี้ จนบางครั้งแยกไม่ออกว่า ชามไหนอาหารหวาน ชามไหนอาหารคาว



หลังกลับมาจากปักษ์ใต้เที่ยวนี้ลองถามเพื่อนชาวใต้ ได้ความว่าส่วนใหญ่ธรรมเนียมการรับรองลูกค้าด้วยน้ำพริกผักสดนี้มีตั้งแต่นครศรีธรรมราชลงไป เหนือขึ้นมาไม่ค่อยพบนัก ความอร่อยของน้ำพริกกะปินี้ไม่ได้เอามาวางพอเป็นพิธีแบบขอไปที หากแต่ตั้งใจคัดสรรส่วนผสมและบรรจงตำจนได้รสชาติอย่างดี จนในมื้อหนึ่งเพื่อนร่วมโต๊ะถึงกับแกล้งเย้าว่า มื้อหน้าเห็นทีเราสั่งแต่ข้าวเปล่ารอกินกับผักสดจิ้มน้ำพริกอย่างเดียวก็น่าจะพอแล้ว อร่อย แถมประหยัดสตางค์อีกด้วย ผู้เขียนคิดว่าคนขายอาจจะไม่ว่าอะไร เพราะไม่เคยเจอมาก่อนจนคิดคำที่จะต่อว่าไม่ทัน แต่เราเองนี่แหละจะนั่งกินและกลืนลงคอหรือเปล่าต่างหาก

เรื่องนี้บังเอิญไปสะกิดความทรงจำอันแสนประทับใจที่เคยพบเห็นมาในเมืองพม่าเมื่อสองสามปีก่อน ทุกครั้งที่ไปสั่งข้าวตามร้านอาหารจะมีธรรมเนียมเหมือนกับที่พบในร้านอาหารปักษ์ใต้นี้ เห็นได้ชัดถึงความมีน้ำจิตน้ำใจของผู้คนในสังคมแบบดั้งเดิม ที่อยู่กันแบบมิตรจิตมิตรใจมากกว่าหวังผลกำไรทางการค้า ลูกค้าชาวพม่าบางคนแต่งกายซอมซ่อแบบบ้านนอกเข้ากรุง พ่อแม่ลูกมากันสามสี่คน สั่งกับข้าวราคาถูกเพียงถ้วยเดียว กินข้าวสวยกับปลาร้าหลนแนมกับผักสดที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นหลัก ไม่เคยเห็นเจ้าของร้านคนไหนต่อว่าลูกค้าสักราย มีแต่เติมข้าวสุก ผักสด และปลาร้าหลนให้กินกันจนอิ่ม จ่ายกันไม่กี่จ๊าต

ในเมืองพม่าและปักษ์ใต้บ้านเรา เมืองที่อารยธรรมเจริญรุ่งเรืองมานับนาน ถือเป็นเมืองที่ผู้คนมีความเจริญด้านจิตใจเป็นรากฐานอย่างต่อเนื่องยาวนานมาจากอดีตจวบจนปัจจุบัน มุมที่งดงามแบบนี้จึงยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไปหากเรามีเวลามองดูอย่างสนใจ ซึ่งหาได้ยากยิ่งในกรุงเทพฯเมืองหลวงของเราในวันนี้ เมืองที่มีรากฐานมาจากการเข่นฆ่าแก่งแย่งช่วงชิงให้ได้มาซึ่งอำนาจ ทรัพยากรมนุษย์ และวัตถุมีค่า วันนี้เมืองใหญ่ของเราทั้งหลายจึงเจริญก้าวหน้าแต่ทางด้านวัตถุ ท่ามกลางผู้คนที่มีสภาพจิตวูบไหว กอบโกย นึกคิดแต่ตัวเอง และหวาดระแวงซึ่งกันและกัน

รอว่าเมื่อไหร่หนอ ...คนเราจะคิดเพื่อตัวเองและคนอื่นพร้อมกันเสียที

 

บล็อกของ องค์ บรรจุน

องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุนเราต่างเกิดมาพร้อมข้อมูลส่วนบุคคล สามารถสืบย้อนโคตรวงศ์กลับไปได้ไม่รู้จบ ผิวพรรณ ฐานะ และเชื้อชาติของผู้ให้กำเนิดย่อมเป็นข้อมูลที่เกิดรอล่วงหน้า เป็นมรดกสืบสันดานมาต่อไป ส่วนศาสนาและการศึกษาถูกป้อนขณะอยู่ในวัยที่ยังไม่อาจเลือกเองเป็น หลังจากนั้นหากต้องการแก้ไขก็ทำได้เองตามชอบ ศัลยกรรมทำสีผิว ผ่าตัดแปลงเพศ หรือแม้แต่เปลี่ยนศาสนา กระทั่งสัญชาติก็เปลี่ยนกันได้ ยกเว้น “เชื้อชาติ” ที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยน ในงานเสวนา “มอญในสยามประเทศ (ไทย) ชนชาติ บทบาท และบทเรียน” เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร อาจารย์สุจิตต์ วงษ์เทศ กล่าวถึงความล้าหลังคลั่ง “เชื้อชาติ” ว่า…
องค์ บรรจุน
ภาสกร อินทุมาร ๑ จำได้ว่าเมื่อตอนที่ผมริเป็นนักดนตรีไทยใหม่ๆ ในวัยเด็ก และได้ฟังเพลง “ราตรีประดับดาว” เป็นครั้งแรกนั้น ผมรู้สึกว่าเพลงนี้ช่างเพราะเหลือเกิน เพราะทั้งทำนองและเนื้อร้อง โดยที่เนื้อร้องมีอยู่ว่า… วันนี้                                 แสนสุดยินดี พระจันทร์วันเพ็ญ ขอเชิญสายใจ                       …
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัย ข้าพเจ้าทราบข่าวว่าในวันที่ 2 พฤษภาคม 2551 ได้เกิดพายุไซโคลนนาร์กีส จากอ่าวเบ็งกอร์  อันที่ได้สร้างความเสียหายทางด้านชีวิต และทรัพย์สินแก่ประชาชนชาวพม่า ที่อาศัยอยู่ในเขตตอนล่างของประเทศจีน จนถึงกลุ่มชนมอญ กระเหรี่ยง เป็นจำนวนมากโดยเป็นตัวแทนรัฐบาล ประชาชน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจ และเห็นใจมายังท่าน และประชาชนชาวพม่า จะสามารถฟื้นฟูเขตที่เกิดความเสียหายจากภัยพิบัติในครั้งนี้ด้วยความเคารพและนับถืออย่างสูงนครหลวงเวียงจันทน์ วันที่ 5 พฤษภาคม 2551  ข้างต้นนี้เป็นสาส์นแสดงความเสียใจที่ฯพณฯท่านบัวสอน บุบผานุวง นายกรัฐมนตรีแห่ง…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน“มอญอะไร นุ่งผ้าถุงลายนี้ มีผ่าหลังด้วย มอญเค้าไม่มีกันหรอก” นักวิชาการมหาวิทยาลัยเปิดแถวเมืองนนท์ชี้ให้ดู“มอญของแท้ต้องโสร่งแดง นุ่งลอยชายแบบพระประแดงนั่นน่ะมอญแปลง เอาแบบกรมศิลป์มาใส่...” พิธีกรสุดเริ่ดดอกเตอร์หมาดๆ รายการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ข้างตำราพูดเสียงยาวแล้วยังจะอีกพะเรอเกวียน ตำหนิ ติ บ่น ก่น ด่า ถากถาง ตั้งความฝัน คาดหวังให้เป็น ขีดเส้นให้ตาม- - - - - - - - - - -จิตรกรรมฝาผนังวัดบางแคใหญ่ สมุทรสงคราม สมัย ร. 2 เป็นภาพสาวมอญนุ่งผ้าแหวกผ่านกลุ่มชายหนุ่ม และถูกเกี้ยวพาราสี
องค์ บรรจุน
ภาสกร อินทุมาร๑เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนที่คนไทยในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อย่างน้อย ๒ กลุ่ม คือ จีนและมอญ  มีกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่ผูกโยงอยู่กับ “อัตลักษณ์” (identity) ของชาติพันธุ์แห่งตน นั่นก็คือ “วันตรุษจีน” หรือการเฉลิมฉลองการขึ้นปีใหม่ตามคติจีน ที่รวมถึงการรำลึกถึงบรรพชนของตน และ “วันรำลึกชนชาติมอญ” ที่คนไทยในกลุ่มชาติพันธุ์มอญจากหลายจังหวัดทั่วประเทศมารวมตัวเพื่อกันทำบุญให้แก่บรรพชนผู้ล่วงลับ และร่วมกันจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม คนจีนและคนมอญได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอาณาบริเวณที่เรียกว่าประเทศไทยในปัจจุบันตั้งแต่ก่อนการสถาปนาความเป็น “รัฐชาติ” (nation state) มาเนิ่นนาน…
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัยอากาศช่วงนี้ช่างร้อนระอุได้ใจยิ่งนัก แม้ว่าฝนจะตกลงมาอย่างหนักในบางที แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หายร้อนแต่ประการใด ร้อนๆ แบบนี้พาให้หงุดหงิดง่าย แต่พ่อฉันมักจะสอนว่า “นี่คือธรรมชาติที่มันต้องเกิด เราต้องเข้าใจธรรมชาติ คนที่ไม่เข้าใจและโมโห หงุดหงิดกับธรรมชาติคือคนเขลา และจะไม่มีความสุข” *******************
องค์ บรรจุน
สุกัญญา เบาเนิดในช่วงเวลาของการแสวงประสบการณ์ ผู้เขียนมีความใฝ่ฝันมานานแล้วว่าครั้งหนึ่งในชีวิตขอให้ได้มีโอกาสทำงานโบราณคดีในภาคเหนือสักครั้ง  ดังนั้น เมื่อราวกลางปีพ.ศ. ๒๕๓๙ ผู้เขียนจึงเดินทางขึ้นเหนือและ เริ่มต้นงานแรกที่จังหวัดลำปาง คืองานบูรณะซ่อมแซมวิหารจามเทวี วัดปงยางคก ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง จากนั้นอีกไม่กี่เดือนเมื่องานที่ลำปางเสร็จสิ้นลง ก็เดินทางต่อมาที่เชียงใหม่ เพื่อทำการขุดศึกษาทางโบราณคดีที่เจดีย์เหลี่ยม หรือ กู่คำ เจดีย์สำคัญของเวียงกุมกาม ตลอดเวลาที่มองเห็นซากปรักหักพังของวัดร้างในเวียงกุมกาม น่าแปลกใจที่ตอนนั้นยังไม่ได้มีความคิดเกี่ยวกับมอญเท่าไรนัก…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุนวงดนตรีพื้นเมืองของแต่ละชาติย่อมมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง แต่กระนั้นวงดนตรีที่อยู่ในภูมิภาคใกล้เคียงกัน ไม่ว่าพม่า มอญ ไทย ลาว เขมร ย่อมมีความคล้ายคลึงกันเพราะต่างได้รับอิทธิพลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะดนตรีมอญกับไทยมีความใกล้เคียงกันมาก ทั้งเครื่องดนตรีและทางดนตรี เหตุเพราะไทยรับเอาอิทธิพลของดนตรีมอญมาไม่น้อย ในเมืองไทยจึงมีเพลงมอญเก่าแก่หลงเหลืออยู่มากมาย เช่น แประมังพลูทะแย กชาสี่บท ดอมทอ ขะวัวตอฮ์ เมี่ยงปล่ายหะเลี่ย เป็นต้น [1] รวมทั้งครูเพลงมอญในเมืองไทยยังได้มีการแต่งเพลงไทยสำเนียงมอญขึ้นมาอีกมากมาย เช่น มอญรำดาบ มอญดูดาว (เพลงประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) มอญอ้อยอิ่ง มอญแปลง…
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัยสมาชิกชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพรื่นเริงบันเทิงใจและปลาบปลื้มชื่นชม...เคยมีคนบอกกับฉันว่า ฉันไม่ควรไปร่วมงานวันชาติมอญในเมืองมอญเพราะฉันต้องเคารพความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมและความเป็นชนชาติของชาวมอญ จึงทำให้ฉันไม่แน่ใจว่าการใช้คำ “รื่นเริงบันเทิงใจ” หรือ “ปลาบปลื้มชื่นชม” จะเป็นการสมควรหรือไม่ แต่นั่นก็คือความรู้สึกที่ฉันได้รับจากการไปงานวันชาติมอญครั้งที่ 61 ที่จัดขึ้น ณ หมู่บ้านบ่อญี่ปุ่น (ปะลางเจปาน) ด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านมอญที่อยู่นอกพรมแดนประเทศไทย งานวันชาติมอญนี้จัดกันหลายที่ทั่วโลกที่มีชุมชนมอญอยู่ ทั้งในไทย มาเลเซีย เกาหลีใต้ อังกฤษ แคนาดา สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา…
องค์ บรรจุน
ภาสกร อินทุมาร“วันรำลึกชนชาติมอญ” ที่จัดขึ้นทุกปีนั้น ปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒-๓ กุมภาพันธ์ ณ วัดบ้านไร่เจริญผล ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ด้วยความร่วมมือของชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพ วัดบ้านไร่เจริญผล และพี่น้องชาวมอญจากหลายๆ พื้นที่ก่อนงานจะเริ่ม พวกเรา-คณะเตรียมงาน ประมาณ ๑๐ คน ได้เดินทางไปยังสถานที่จัดงานตั้งแต่วันที่ ๑ เพื่อเตรียมความพร้อมต่างๆ ตั้งแต่การตกแต่งบริเวณงานด้วยธงราวรูปหงส์ที่พวกเราทำขึ้น, การผูกผ้าและจัดดอกไม้, การตกแต่งเวที, การติดตั้งนิทรรศการเคลื่อนที่, การเตรียมสถานที่สำหรับทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรพชนมอญ ฯลฯ…
องค์ บรรจุน
สุกัญญา เบาเนิดและแล้วสิ่งที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจนได้....เมื่อเช้าตรู่ของวันเสาร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ วันแรกของการจัดงานวันรำลึกชนชาติมอญครั้งที่ ๖๑ ณ วัดบ้านไร่เจริญผล ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร โดย วัดและชุมชนมอญบ้านไร่เจริญผล ร่วมกับชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงตระหนกของเพื่อนคนหนึ่งที่วิ่งกระหืดกระหอบนำข่าวของเช้านี้มาบอก “....เร็วๆมาดู อะไรนี่ ...ยกโขยง มากันเป็นร้อยเลยว่ะ...เต็มวัดไปหมด .....”  ในทันทีนั้นข้าพเจ้าจึงชะโงกหน้ามองจากหน้าต่างชั้นบนของศาลาการเปรียญที่พวกเราอาศัยซุกหัวนอนกันตั้งแต่เมื่อคืนเพื่อมาเตรียมจัดงาน…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน“ทะแยมอญ” เป็นการละเล่นพื้นบ้านของมอญอย่างหนึ่ง สำหรับท่านที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน คงหลับตานึกภาพไม่ออก แต่อธิบายให้ฟังเพิ่มเติมว่า เป็นการแสดงที่ให้อารมณ์คล้ายๆ การแสดงลำตัดของไทย เป็นการร้องโต้ตอบด้วยปฏิภาณกวี มีทั้งเรื่องธรรมและเกี้ยวพาราสีของนักแสดงชายหญิงประกอบวงมโหรีมอญ คนที่ฟังไม่ออกก็อาจเฉยๆ แต่หากเป็นคนมอญรุ่นที่หิ้วเชี่ยนหมากมานั่งฟังด้วยแล้วละก็ เป็นได้เข้าถึงอารมณ์เพลง ต้องลุกขึ้นร่ายรำตามลีลาของมโหรี หรือบางช่วงอาจเพลินคารมพ่อเพลงแม่เพลงที่โต้กลอนกันถึงพริกถึงขิง อาจต้องหัวเราะน้ำหมากกระเด็นไปหลายวาทีเดียวทะแยมอญบ้านเจ็ดริ้ว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ถ่ายเมื่อราวปี…