Skip to main content

องค์ บรรจุน

บทความชิ้นนี้ไม่มีเจตนาตั้งชื่อเลียน "ชัตเตอร์กดติดวิญญาณ" เพราะในภาพยนตร์นั้น เจ้าของกล้องกดชัตเตอร์ติดวิญญาณผีที่เขาขับรถชนและหนีไป ทว่าในที่สุดวิญญาณก็ตามทวงเอาชีวิต ซึ่งต่างจากบทความนี้อย่างสิ้นเชิง เนื่องจาก เจ้าของกล้องถ่ายภาพนับร้อยที่กดชัตเตอร์ใส่ผีตนหนึ่ง คล้ายมหรสพที่นักการเมืองจัดให้ชาวบ้านในฤดูหาเสียง แต่ที่ร้ายก็คือ อำนาจของชัตเตอร์กลับสะกดให้ผีตกอยู่ใต้อำนาจของมนุษย์อย่างที่ผีไม่สามารถเอาคืนได้

เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๒ ผู้เขียนมีโอกาสเข้าไปสังเกตการณ์พิธี "เลี้ยงดง" หรือ "เลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะ" พิธีกรรมเก่าแก่ของชาวเชียงใหม่ ที่บ้านแม่เหียะใต้ เชิงดอยคำ หลังสถานีวิจัยเกษตรแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งชาวบ้านย่านนั้นพร้อมใจกันจัดขึ้นทุกปี แต่ที่ไม่ทราบแน่ชัดก็คือ นักการเมืองท้องถิ่นได้เข้าไปดำเนินการจัดตั้ง "ปู่แสะย่าแสะ" ให้เป็นหัวคะแนนตั้งแต่เมื่อใด

ตำนานความเป็นมาของพิธีเลี้ยงดง กล่าวโดยย่อคือ ในอดีตย่านนี้เป็นเมืองของชาวลัวะชื่อว่า "บุรพนคร" ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำปิงและดอยอ้อยช้าง (อุจฉุคีรี) ชาวเมืองได้รับความเดือดร้อนจากยักษ์พ่อแม่ลูก ๓ ตน ที่มาจับชาวเมืองไปกินทุกวัน จนชาวเมืองต้องพากันอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น

กล่าวถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รับรู้ด้วยพระสัมมาสัมโพธิญาณ เห็นความเดือดร้อนของชาวเมืองบุพนครที่เกิดจากยักษ์พ่อแม่ลูก ๓ ตน พระองค์พร้อมด้วยเหล่าสาวกจึงได้เสด็จมาประทับที่ดอยใต้ ได้มีชาวลัวะ ๔ คน เข้าเฝ้าและเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ จึงถวายอาหารที่นำติดตัวมา พระองค์ทรงอนุโมทนาและเทศนาโปรดจนชาวลัวะทั้ง ๔ รู้แจ้งเห็นสัจธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา

พระพุทธองค์ได้ทำนายว่า ในอนาคตเมืองของชาวลัวะแห่งนี้จะได้ชื่อว่า "เมืองชีใหม่" (ต่อมาเพี้ยนเป็น "เชียงใหม่") โดยเรียกตามเหตุการณ์ที่ชาวลัวะบวชใหม่ (ในอดีตเรียกพระว่า ชี) จากนั้นพระพุทธเจ้าได้สนทนากับพระลัวะทั้ง ๔ รูป จนรับรู้ความเดือดร้อนของชาวเมือง จึงรับสั่งให้พระอานนท์ไปตามยักษ์ทั้ง ๓ ตน มาพบ ทรงแสดงอภินิหารให้ยักษ์เห็น และแสดงธรรมให้ฟัง จนยักษ์เกิดความเลื่อมใส พระพุทธองค์ได้ให้ยักษ์ทั้ง ๓ สมาทานศีลห้า

ต่อมายักษ์นึกขึ้นได้ว่า ตนเองเป็นยักษ์จำเป็นต้องกินเนื้อเป็นอาหาร จึงทูลขอควายกินวันละตัว พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต ยักษ์จึงทูลขอควายกินเดือนละตัว พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงอนุญาต ที่สุดยักษ์จึงทูลขอควายกินปีละตัว พระพุทธองค์ไม่ตอบ ยักษ์จึงขอกับเจ้าเมือง และตกลงให้กินปีละตัว โดยยักษ์ปู่แสะขอกินควายเผือกเขาคำ ยักษ์ย่าแสะขอกินควายดำกลีบเผิ้ง (ควายหนุ่มเขาเสมอหู) โดยฆ่าควายแล้วชำแหละไปให้ พร้อมกับมีข้อแม้ว่า "ยักษ์ต้องรักษาพระพุทธศาสนาให้ครบ ๕,๐๐๐ ปี ตลอดจนปกปักรักษาชาวเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขด้วย"


ปู่แสะย่าแสะ (เสื้อแดงมุมซ้ายล่างของภาพ) กินเนื้อควายสดๆ


ส่วนลูกยักษ์ได้บวชเป็นพระภิกษุ ต่อมาลาสิกขาออกมาถือเพศเป็นฤๅษี มีนามว่า "สุเทพฤๅษี" ส่วนดอยช้าง หรือ ดอยเหนือ ต่อมาเรียกว่า ดอยสุเทพ ตามชื่อฤๅษีสุเทพซึ่งบำเพ็ญพรตอยู่ที่ถ้ำฤๅษีหลังดอยสุเทพ ดอยคำ และดอยเหล็ก (ปัจจุบันปรากฏร่องรอยบ่อน้ำอยู่ ชาวบ้านเรียกกันว่า บ่อฤๅษี)...

จากตำนานดังกล่าวข้างต้น ยังคงสืบทอดความเชื่อต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน กล่าวคือ ภายหลังการเสียชีวิตของปู่แสะย่าแสะแล้ว ชาวบ้านชาวเมืองยังคงเกรงกลัวอิทธิฤทธิ์ และต้องการให้วิญญาณปู่แสะย่าแสะช่วยรักษาพระศาสนา และปกป้องคุ้มครองชาวเมือง จึงจัดให้มีพิธีเซ่นสรวง ที่เรียกกันว่า "เลี้ยงดง" เป็นประจำในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ เหนือ (เป็งเดือนเก้า) สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ชาวเชียงใหม่ (คนเมือง) นับถือผีมาช้านาน ทั้งผีบรรพชน และเทวดาอารักษ์ เช่นเดียวกับผู้คนทุกเชื้อชาติในภูมิภาคแถบนี้ มีการยอมรับนับถือพุทธศาสนามาช้านานตั้งแต่ก่อนการสร้างเมืองเชียงใหม่ โดยการนำความเชื่อดั้งเดิมผสมผสานเข้ากับความเชื่อใหม่ที่ได้รับ เป็นการน้อมนำหลักธรรมทางพุทธศาสนามาเป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิตของตน

จากตำนานพื้นเมืองเชื่อกันว่า ปู่แสะย่าแสะ เป็นผีบรรพชนของพวกลัวะ ซึ่งส่วนหนึ่งได้สืบเชื้อสายมาเป็นชาวเชียงใหม่ในปัจจุบัน มีหน้าที่ดูแลรักษาเมืองเชียงใหม่ ดังนั้นเจ้าเมือง เสนาอำมาตย์ และราษฎร จะต้องร่วมกันทำพิธีเลี้ยงปู่แสะย่าแสะ คนโบราณเชื่อว่า หากไม่ทำพิธีเลี้ยงปู่แสะย่าแสะ บ้านเมืองจะเกิดภัยพิบัติ ดังในสมัยพระเจ้าแม่กุ ที่มีการห้ามชาวบ้านทำพิธี เป็นเหตุให้เมืองเชียงใหม่ต้องเสียเอกราช ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า

พิธีเลี้ยงปู่แสะย่าแสะทำสืบต่อกันมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๘๐ ทางราชการได้สั่งห้ามจัดพิธีดังกล่าว (กรณีเดียวกับที่ได้มีการห้ามจัดพิธีรำผีมอญที่พระประแดง เพราะทางการเกรงว่าจะมีการทำนายทายทักในทางร้ายทำให้ชาวบ้านตื่นกลัว) จนถึงสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา จึงได้รับการรื้อฟื้นขึ้นอีกครั้งแต่ให้ทำพิธีทางทิศตะวันออกของเชิงดอยคำ โดยมีชาวบ้านเชิงดอยสุเทพและบ้านแม่เหียะเป็นผู้ทำพิธี ซึ่งข้อกำหนดอย่างหนึ่งของการเป็นร่างทรง (ม้าขี่) ก็คือ บุคคลหนึ่งห้ามเป็นร่างทรงติดต่อกันเกิน ๓ ปี


ปู่แสะย่าแสะเดินกินเครื่องเซ่นในศาลบูชา ช่างภาพร้อยเศษตามประกบ


โดยรอบบริเวณพิธีเป็นป่าไม้ค่อนข้างสมบูรณ์ ล้วนแต่ไม้ขนาดใหญ่ทั้งสิ้น เช้านั้นฝนโปรยปรายลงมาแต่เช้า ยอดหญ้าฉ่ำน้ำ ผืนดินนุ่มไร้ฝุ่น ท้องฟ้าก็ครึ้มด้วยเมฆขาวหม่น บรรยากาศขรึมขลังชวนศรัทธา จะขัดความรู้สึกบ้างก็ตรงที่เมื่อเดินทางมาถึงเชิงเขา ได้ยินแต่เสียงล้อบดถนนและแตรรถกลบเสียงวงกลอง (ปี่พาทย์) รถนานาชนิดจอดเรียงรายยาวเหยียด รวมทั้งรถตู้นักท่องเที่ยวหลากสัญชาติ เมื่อถึงปากทางมองเห็นผาม (ปะรำพิธี) แต่ไกลกลางลานโล่ง สองรายทางเต็มไปด้วยร้านค้าขายนาชนิด (รวมทั้งเหล้าตอง แต่ปีหน้าคงจะไม่มี หากหน่วยงานเกี่ยวกับสุขภาพ จะเข้าไปสนับสนุนกิจกรรมชาวบ้าน และอาจจะรวมไปถึงการนำควายมาต้มก่อนเซ่นสรวงปู่แสะย่าแสะ) ด้านขวาเกือบสุดทางเดินก่อนถึงผาม เป็นอาสนสงฆ์ ด้านซ้ายเป็นเต้นท์กองอำนวยการ มีเสียงประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงและผลงานของนักการเมืองท้องถิ่น และโฆษณาขายผืนผ้าพระบฏจำลอง


ปู่แสะย่าแสะไหว้สาภาพพระบฏ


ขณะที่ผู้เขียนไปถึงนั้นหีบพระบฎ (ภาพเขียนพระพุทธเจ้า) วางอยู่ใต้ร่มไม้ พระบฏในหีบถูกขึงไว้กับยอดไม้สูงเหนือหัวแล้ว พิธีกรรมต่อจากนั้นเริ่มจาก ร่างทรง (ม้าขี่) ของปู่แสะย่าแสะ ขึ้นไปทำพิธีบนผาม เปลี่ยนชุดตามแบบโบราณ เน้นผ้านุ่งผ้าห่มสีแดง ทำพิธีเซ่นสรวงเชิญวิญญาณปู่แสะย่าแสะเข้าร่าง วิญญาณในร่างทรงรับหมากมาเคี้ยวปากแดง สูบบุหรี่มอญมวนใหญ่ กระโจนลงจากผาม เดินมุ่งไปหาซากควายที่ชำแหละวางไว้ทั้งเนื้อ หนัง หัว และเขาควายครบทุกชิ้นส่วนกลางลาน ปู่แสะย่าแสะขึ้นขี่บนหลังควาย เกลือกร่างไปบนซากควาย ฉีกเนื้อกินสดๆ มือวักเลือดในภาชนะขึ้นดื่ม หิ้วเนื้อควายติดตัวไปบางส่วน เดินตรวจตราดูศาลบูชาขนาดเล็กที่ตั้งอยู่โดยรอบลานพิธี ทั้ง ๑๒ ศาล ตามจำนวนปู่แสะย่าแสะ ลูก หลาน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของเมือง ภายในศาลวางกระทงใบตองตึง ใส่เครื่องเซ่นคาวหวานนานาชนิด หลังปู่แสะย่าแสะรับเครื่องเซ่นแล้วก็เกิดเหตุอัศจรรย์ภาพพระบฏแกว่งไกว ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นปาฏิหารย์ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกปี โดยไม่มีลมพัดต้องแม้แต่น้อย สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้ปู่แสะย่าแสะรับรู้ กลับเข้าไปในผาม เปลี่ยนชุดใหม่ เน้นสีขาวบริสุทธิ์ เข้าไปไหว้สาพระบฏ อันเป็นสัญลักษ์ตัวแทนของพระพุทธเจ้า จากนั้นปู่แสะย่าแสะก็จะเดินเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ที่สำคัญยังมีการปลูกฝังสั่งสอนชาวบ้าน เป็นต้นว่า มีการเข้าทรง "เจ้านาย" เพื่อพยากรณ์ความเป็นอยู่และความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง การบอกกล่าวฝากฝังต่อผู้นำชุมชนเกี่ยวกับการรักษาป่าไม้ ที่มีผู้คนทำลายบุกรุกทำลาย ให้ชาวบ้านสามัคคีช่วยกันแก้ไขปัญหา สาปแช่งคนบุกรุกทำรายให้มีอันเป็นไป เป็นต้น (โชคดีที่ป่าผืนนั้นเป็นเขตทหาร คำสาปแช่งของปู่แสะย่าแสะจึงคงยังศักดิ์สิทธิ์ไปอีกนาน)

นอกจากตำนานจะกล่าวถึงชนพื้นเมือง คือ ชาวลัวะ ว่าเป็นชนดั้งเดิมของเมืองเชียงใหม่แล้ว ยังเป็นการผสานความเชื่อเรื่องผีของชนพื้นเมืองที่มีมาแต่เดิม เข้ากับความเชื่อทางพุทธศาสนาที่เข้ามาภายหลัง ให้ดำเนินคู่กันไปอย่างกลมกลืน เท่ากับว่าตำนานและพิธีกรรมในอดีตมีส่วนสำคัญในการร้อยเรียงผู้คนต่างชาติพันธุ์ ต่างความเชื่อ และลัทธิทางศาสนาให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยมีกติกาที่ชุมชนเป็นผู้ตกลงร่วมกัน แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ชาวบ้านกลับตกอยู่ภายใต้การชี้นำของทุนนิยม ปัจจัยภายนอกส่งอิทธิพลต่อรูปแบบการดำรงชีวิตของผู้คนที่ต้องอาศัยเครื่องประดับกาย และเครื่องประดับเกียรติ หนทางหนึ่งนั้น คือ "การเมือง" ระบบซึ่งพรากความกลมเกลียวไปจากชุมชน และยัดเยียดความแตกแยกทิ้งไว้ให้ชุมชน ผลประโยชน์ที่อยู่เบื้องหลัง ทำให้กระทำทุกวิถีทางเพื่อขึ้นสู่อำนาจ แม้แต่การเบียดบังพื้นที่ของผีบรรพชน


นักการเมือง กับ ปู่แสะย่าแสะ

อำนาจ "ชัตเตอร์" รุกล้ำประชิดถึงปลายคางโหนกคิ้วของผี เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามในสายตาของช่างภาพ ในยุคดิจิตัล มือถือถ่ายภาพได้ราคาถูกหาซื้อได้ง่าย ไม่นับรวมนักเลงกล้องมืออาชีพ กล้องวีดีโอจากนักท่องเที่ยวหลายชาติ นักข่าวหลายช่อง นับด้วยตาคร่าวๆ ไม่ต่ำกว่าร้อย รั้วไม้หยาบๆ กั้นชาวบ้านให้นั่งดูเรื่องที่เป็นจิตวิญญาณของตนได้เท่านั้น แต่รั้วไม่สามารถกั้นช่างภาพและนักการเมืองให้เข้าไปเกาะติดผีได้ ไม่มีการนิยามถึงพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีการเคารพตำนานและตัวตนการมีอยู่ของความเชื่อเรื่องปู่แสะย่าแสะ ผู้เขียนไม่อาจรู้ได้ว่าพ่ออุ้ยแม่อุ้ยที่นั่งราบอยู่กับพื้นพนมมือด้วยศรัทธาจะปวดร้าวใจเพียงใด เมื่อได้ยินช่างภาพและนักการเมืองท้องถิ่นพูดกับปู่แสะย่าแสะที่พวกเขาเคารพศรัทธา
"อย่าเพิ่งลุกๆ นั่งต่อแป๊บนึง กัดเนื้อควายค้างไว้ ขอมุมสวยๆ อีกภาพ..."

หรือคำที่ผู้ชมกล่าวถึงด้วยความ...
"ปีก่อนๆ กว่าจะขึ้นต้นไม้ได้ต้องดันกันแล้วดันกันอีก ปีนี้นักท่องเที่ยวเยอะ กล้องทีวีก็เยอะ นายกเทศบาลมาเองด้วย ร่างทรงกระโดดปลิวขึ้นต้นไม้ไปเลย... ปีนขึ้นไปสูงซะด้วย..."

แน่นอนว่าในแต่ละขั้นตอน ภาพนักการเมืองจะต้องไม่หลุดเฟรม นั่นคือการอยู่ให้ไกล้ร่างทรงที่สุด กระทั่งเกาะกุมลากจูงมือร่างทรง แบบที่ไม่เคยมีในอดีต ผู้เขียนบอกไม่ได้ว่าผีมีจริงหรือไม่ แต่เท่าที่ผ่านมามนุษย์ใช้งานผีด้วยความเคารพ ลำพังนักการเมืองไม่เข้ามาอิงแอบบารมีผีใช้เป็นฐานคะแนน ผีทั้งหลายก็มีที่อยู่ที่ยืนน้อยลงทุกทีเพราะความเชื่อเก่าถูกท้าทายลงทุกเมื่อเชื่อวัน ยิ่งมาถึงทุกวันนี้ ภาพผีที่ถูกชี้นิ้วสั่ง ฉุดลากไปมาตรงหน้า อย่างที่นักการเมืองท้องถิ่นต้องการ ศรัทธาของคนรุ่นใหม่ย่อมไม่เกิด ศรัทธาของคนรุ่นเก่าก็ยิ่งเหือดแห้งลงทุกขณะ

 

 

บล็อกของ องค์ บรรจุน

องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุนเราต่างเกิดมาพร้อมข้อมูลส่วนบุคคล สามารถสืบย้อนโคตรวงศ์กลับไปได้ไม่รู้จบ ผิวพรรณ ฐานะ และเชื้อชาติของผู้ให้กำเนิดย่อมเป็นข้อมูลที่เกิดรอล่วงหน้า เป็นมรดกสืบสันดานมาต่อไป ส่วนศาสนาและการศึกษาถูกป้อนขณะอยู่ในวัยที่ยังไม่อาจเลือกเองเป็น หลังจากนั้นหากต้องการแก้ไขก็ทำได้เองตามชอบ ศัลยกรรมทำสีผิว ผ่าตัดแปลงเพศ หรือแม้แต่เปลี่ยนศาสนา กระทั่งสัญชาติก็เปลี่ยนกันได้ ยกเว้น “เชื้อชาติ” ที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยน ในงานเสวนา “มอญในสยามประเทศ (ไทย) ชนชาติ บทบาท และบทเรียน” เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร อาจารย์สุจิตต์ วงษ์เทศ กล่าวถึงความล้าหลังคลั่ง “เชื้อชาติ” ว่า…
องค์ บรรจุน
ภาสกร อินทุมาร ๑ จำได้ว่าเมื่อตอนที่ผมริเป็นนักดนตรีไทยใหม่ๆ ในวัยเด็ก และได้ฟังเพลง “ราตรีประดับดาว” เป็นครั้งแรกนั้น ผมรู้สึกว่าเพลงนี้ช่างเพราะเหลือเกิน เพราะทั้งทำนองและเนื้อร้อง โดยที่เนื้อร้องมีอยู่ว่า… วันนี้                                 แสนสุดยินดี พระจันทร์วันเพ็ญ ขอเชิญสายใจ                       …
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัย ข้าพเจ้าทราบข่าวว่าในวันที่ 2 พฤษภาคม 2551 ได้เกิดพายุไซโคลนนาร์กีส จากอ่าวเบ็งกอร์  อันที่ได้สร้างความเสียหายทางด้านชีวิต และทรัพย์สินแก่ประชาชนชาวพม่า ที่อาศัยอยู่ในเขตตอนล่างของประเทศจีน จนถึงกลุ่มชนมอญ กระเหรี่ยง เป็นจำนวนมากโดยเป็นตัวแทนรัฐบาล ประชาชน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจ และเห็นใจมายังท่าน และประชาชนชาวพม่า จะสามารถฟื้นฟูเขตที่เกิดความเสียหายจากภัยพิบัติในครั้งนี้ด้วยความเคารพและนับถืออย่างสูงนครหลวงเวียงจันทน์ วันที่ 5 พฤษภาคม 2551  ข้างต้นนี้เป็นสาส์นแสดงความเสียใจที่ฯพณฯท่านบัวสอน บุบผานุวง นายกรัฐมนตรีแห่ง…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน“มอญอะไร นุ่งผ้าถุงลายนี้ มีผ่าหลังด้วย มอญเค้าไม่มีกันหรอก” นักวิชาการมหาวิทยาลัยเปิดแถวเมืองนนท์ชี้ให้ดู“มอญของแท้ต้องโสร่งแดง นุ่งลอยชายแบบพระประแดงนั่นน่ะมอญแปลง เอาแบบกรมศิลป์มาใส่...” พิธีกรสุดเริ่ดดอกเตอร์หมาดๆ รายการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ข้างตำราพูดเสียงยาวแล้วยังจะอีกพะเรอเกวียน ตำหนิ ติ บ่น ก่น ด่า ถากถาง ตั้งความฝัน คาดหวังให้เป็น ขีดเส้นให้ตาม- - - - - - - - - - -จิตรกรรมฝาผนังวัดบางแคใหญ่ สมุทรสงคราม สมัย ร. 2 เป็นภาพสาวมอญนุ่งผ้าแหวกผ่านกลุ่มชายหนุ่ม และถูกเกี้ยวพาราสี
องค์ บรรจุน
ภาสกร อินทุมาร๑เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนที่คนไทยในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อย่างน้อย ๒ กลุ่ม คือ จีนและมอญ  มีกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่ผูกโยงอยู่กับ “อัตลักษณ์” (identity) ของชาติพันธุ์แห่งตน นั่นก็คือ “วันตรุษจีน” หรือการเฉลิมฉลองการขึ้นปีใหม่ตามคติจีน ที่รวมถึงการรำลึกถึงบรรพชนของตน และ “วันรำลึกชนชาติมอญ” ที่คนไทยในกลุ่มชาติพันธุ์มอญจากหลายจังหวัดทั่วประเทศมารวมตัวเพื่อกันทำบุญให้แก่บรรพชนผู้ล่วงลับ และร่วมกันจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม คนจีนและคนมอญได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอาณาบริเวณที่เรียกว่าประเทศไทยในปัจจุบันตั้งแต่ก่อนการสถาปนาความเป็น “รัฐชาติ” (nation state) มาเนิ่นนาน…
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัยอากาศช่วงนี้ช่างร้อนระอุได้ใจยิ่งนัก แม้ว่าฝนจะตกลงมาอย่างหนักในบางที แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หายร้อนแต่ประการใด ร้อนๆ แบบนี้พาให้หงุดหงิดง่าย แต่พ่อฉันมักจะสอนว่า “นี่คือธรรมชาติที่มันต้องเกิด เราต้องเข้าใจธรรมชาติ คนที่ไม่เข้าใจและโมโห หงุดหงิดกับธรรมชาติคือคนเขลา และจะไม่มีความสุข” *******************
องค์ บรรจุน
สุกัญญา เบาเนิดในช่วงเวลาของการแสวงประสบการณ์ ผู้เขียนมีความใฝ่ฝันมานานแล้วว่าครั้งหนึ่งในชีวิตขอให้ได้มีโอกาสทำงานโบราณคดีในภาคเหนือสักครั้ง  ดังนั้น เมื่อราวกลางปีพ.ศ. ๒๕๓๙ ผู้เขียนจึงเดินทางขึ้นเหนือและ เริ่มต้นงานแรกที่จังหวัดลำปาง คืองานบูรณะซ่อมแซมวิหารจามเทวี วัดปงยางคก ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง จากนั้นอีกไม่กี่เดือนเมื่องานที่ลำปางเสร็จสิ้นลง ก็เดินทางต่อมาที่เชียงใหม่ เพื่อทำการขุดศึกษาทางโบราณคดีที่เจดีย์เหลี่ยม หรือ กู่คำ เจดีย์สำคัญของเวียงกุมกาม ตลอดเวลาที่มองเห็นซากปรักหักพังของวัดร้างในเวียงกุมกาม น่าแปลกใจที่ตอนนั้นยังไม่ได้มีความคิดเกี่ยวกับมอญเท่าไรนัก…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุนวงดนตรีพื้นเมืองของแต่ละชาติย่อมมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง แต่กระนั้นวงดนตรีที่อยู่ในภูมิภาคใกล้เคียงกัน ไม่ว่าพม่า มอญ ไทย ลาว เขมร ย่อมมีความคล้ายคลึงกันเพราะต่างได้รับอิทธิพลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะดนตรีมอญกับไทยมีความใกล้เคียงกันมาก ทั้งเครื่องดนตรีและทางดนตรี เหตุเพราะไทยรับเอาอิทธิพลของดนตรีมอญมาไม่น้อย ในเมืองไทยจึงมีเพลงมอญเก่าแก่หลงเหลืออยู่มากมาย เช่น แประมังพลูทะแย กชาสี่บท ดอมทอ ขะวัวตอฮ์ เมี่ยงปล่ายหะเลี่ย เป็นต้น [1] รวมทั้งครูเพลงมอญในเมืองไทยยังได้มีการแต่งเพลงไทยสำเนียงมอญขึ้นมาอีกมากมาย เช่น มอญรำดาบ มอญดูดาว (เพลงประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) มอญอ้อยอิ่ง มอญแปลง…
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัยสมาชิกชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพรื่นเริงบันเทิงใจและปลาบปลื้มชื่นชม...เคยมีคนบอกกับฉันว่า ฉันไม่ควรไปร่วมงานวันชาติมอญในเมืองมอญเพราะฉันต้องเคารพความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมและความเป็นชนชาติของชาวมอญ จึงทำให้ฉันไม่แน่ใจว่าการใช้คำ “รื่นเริงบันเทิงใจ” หรือ “ปลาบปลื้มชื่นชม” จะเป็นการสมควรหรือไม่ แต่นั่นก็คือความรู้สึกที่ฉันได้รับจากการไปงานวันชาติมอญครั้งที่ 61 ที่จัดขึ้น ณ หมู่บ้านบ่อญี่ปุ่น (ปะลางเจปาน) ด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านมอญที่อยู่นอกพรมแดนประเทศไทย งานวันชาติมอญนี้จัดกันหลายที่ทั่วโลกที่มีชุมชนมอญอยู่ ทั้งในไทย มาเลเซีย เกาหลีใต้ อังกฤษ แคนาดา สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา…
องค์ บรรจุน
ภาสกร อินทุมาร“วันรำลึกชนชาติมอญ” ที่จัดขึ้นทุกปีนั้น ปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒-๓ กุมภาพันธ์ ณ วัดบ้านไร่เจริญผล ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ด้วยความร่วมมือของชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพ วัดบ้านไร่เจริญผล และพี่น้องชาวมอญจากหลายๆ พื้นที่ก่อนงานจะเริ่ม พวกเรา-คณะเตรียมงาน ประมาณ ๑๐ คน ได้เดินทางไปยังสถานที่จัดงานตั้งแต่วันที่ ๑ เพื่อเตรียมความพร้อมต่างๆ ตั้งแต่การตกแต่งบริเวณงานด้วยธงราวรูปหงส์ที่พวกเราทำขึ้น, การผูกผ้าและจัดดอกไม้, การตกแต่งเวที, การติดตั้งนิทรรศการเคลื่อนที่, การเตรียมสถานที่สำหรับทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรพชนมอญ ฯลฯ…
องค์ บรรจุน
สุกัญญา เบาเนิดและแล้วสิ่งที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจนได้....เมื่อเช้าตรู่ของวันเสาร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ วันแรกของการจัดงานวันรำลึกชนชาติมอญครั้งที่ ๖๑ ณ วัดบ้านไร่เจริญผล ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร โดย วัดและชุมชนมอญบ้านไร่เจริญผล ร่วมกับชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงตระหนกของเพื่อนคนหนึ่งที่วิ่งกระหืดกระหอบนำข่าวของเช้านี้มาบอก “....เร็วๆมาดู อะไรนี่ ...ยกโขยง มากันเป็นร้อยเลยว่ะ...เต็มวัดไปหมด .....”  ในทันทีนั้นข้าพเจ้าจึงชะโงกหน้ามองจากหน้าต่างชั้นบนของศาลาการเปรียญที่พวกเราอาศัยซุกหัวนอนกันตั้งแต่เมื่อคืนเพื่อมาเตรียมจัดงาน…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน“ทะแยมอญ” เป็นการละเล่นพื้นบ้านของมอญอย่างหนึ่ง สำหรับท่านที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน คงหลับตานึกภาพไม่ออก แต่อธิบายให้ฟังเพิ่มเติมว่า เป็นการแสดงที่ให้อารมณ์คล้ายๆ การแสดงลำตัดของไทย เป็นการร้องโต้ตอบด้วยปฏิภาณกวี มีทั้งเรื่องธรรมและเกี้ยวพาราสีของนักแสดงชายหญิงประกอบวงมโหรีมอญ คนที่ฟังไม่ออกก็อาจเฉยๆ แต่หากเป็นคนมอญรุ่นที่หิ้วเชี่ยนหมากมานั่งฟังด้วยแล้วละก็ เป็นได้เข้าถึงอารมณ์เพลง ต้องลุกขึ้นร่ายรำตามลีลาของมโหรี หรือบางช่วงอาจเพลินคารมพ่อเพลงแม่เพลงที่โต้กลอนกันถึงพริกถึงขิง อาจต้องหัวเราะน้ำหมากกระเด็นไปหลายวาทีเดียวทะแยมอญบ้านเจ็ดริ้ว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ถ่ายเมื่อราวปี…