ขนิษฐา คันธะวิชัย
อากาศช่วงนี้ช่างร้อนระอุได้ใจยิ่งนัก แม้ว่าฝนจะตกลงมาอย่างหนักในบางที แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หายร้อนแต่ประการใด
ร้อนๆ แบบนี้พาให้หงุดหงิดง่าย แต่พ่อฉันมักจะสอนว่า “นี่คือธรรมชาติที่มันต้องเกิด เราต้องเข้าใจธรรมชาติ คนที่ไม่เข้าใจและโมโห หงุดหงิดกับธรรมชาติคือคนเขลา และจะไม่มีความสุข”
*******************
สงกรานต์ปีนี้ ฉันและสมาชิกชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพออกเดินสายไปงานสงกรานต์มอญตามชุมชนมอญต่างๆ ในช่วงเทศกาลอย่างนี้เราได้นอนตากแอร์อยู่บ้านอ่านหนังสือน้อยมาก เพราะอย่างไรเสียเราก็ต้องไปช่วยงานกัน แม้เอาเข้าจริงตัวฉันเองจะทำได้แค่แต่งชุดมอญ ทำหน้าตาปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ เดินคุยกับคนโน้นทีคนนี้ทีเป็นสีสันให้ได้บรรยากาศแบบมอญๆ ในงานก็ตาม
ช่วงที่ต้องออกงานสงกรานต์มอญนั้น ฉันตัวเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้เปียกน้ำที่เขาประพรมหรือสาดเล่นกัน หากแต่เปียกเหงื่อ เนื่องจากฉันต้องใส่เสื้อมอญแขนยาว (เพราะยังโสด หากแต่งงานแล้วจึงใส่เสื้อแขนยาวเพียงแค่ครึ่งข้อศอก) ห่มสไบและนุ่งซิ่นยาว แทบไม่ได้รับลมเลย แถมยังต้องตากแดด หรืออยู่กลางแจ้ง ทำให้มีเหงื่อซึมตลอดเวลา ซึ่งนี่ก็คือธรรมชาติในฤดูร้อน แต่คนอื่นๆ ที่มาร่วมงานก็มิได้ย่อท้อต่อความร้อนจากธรรมชาติแห่งฤดูร้อนนี้ ยังคงแต่งชุดมอญมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ด้วยต้องการร่วมสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นและธำรงความเป็นมอญไว้
คนไทยเชื้อสายมอญที่ฉันได้พบนั้น ส่วนใหญ่จะมีสำนึกว่าตัวเอง “เป็นคนไทย” กันแล้ว อย่างไรก็ตามเขาก็ยังรู้ว่าตนเองมีเชื้อสายมอญ หรือเป็นคนมอญอยู่ นี่ทำให้ฉันนึกถึงทฤษฎีเกี่ยวกับอัตลักษณ์ที่บอกว่า “อัตลักษณ์นั้นมีความหลากหลายและซับซ้อน” นอกจากนี้ “มอญ” เอง ก็ยังมีการแบ่งเป็น “มอญใน - มอญนอก” หรือ “มอญไทย–มอญมอญ” ซึ่งก็หมายถึง “มอญที่เป็นคนไทย” กับ “มอญที่เพิ่งมาจากพม่า” ซึ่งส่วนใหญ่จะมาเป็นแรงงานที่รัฐไทยเหมารวมว่าเป็น “แรงงานพม่า” นั่นเอง (เห็นไหม โดนอัตลักษณ์อีกชุดทับซ้อน) เหล่านี้คือการแบ่งที่ได้ยินบ่อย จริงๆ แล้วยังมีการแบ่งที่ยิบย่อยกว่านี้ เช่น มอญแรงงาน มอญเก่า มอญใหม่ มอญเชื้อสายเจ้าเมืองมอญ มอญบ้านนอก ฯลฯ [1] อย่างไรก็ตามแม้จะมีการแบ่งเป็นมอญกลุ่มต่างๆ ทั้งแบบที่ใช้ภูมิศาสตร์ ชนชั้นในสังคม หรือแบบที่ใช้ช่วงเวลาในการเข้ามาสู่ประเทศไทยเป็นตัวกำหนด แต่ฉันก็พบว่าชาวมอญยังมีสำนึกความเป็นมอญร่วมกันอยู่ ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวเชื่อมโยงสำนึกความเป็นมอญไว้ก็อาจมีหลายอย่าง เช่นภาษา การมีเชื้อสายมอญ [2] และประวัติศาสตร์ที่มีร่วมกัน
รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ ถ่ายภาพร่วมกับคณะกรรมการจัดงานสงกรานต์มอญบ้านมอญ นครสวรรค์
อาจเป็นเพราะการมีสำนึกความเป็นมอญร่วมกันอยู่นี่เอง ที่ทำให้มอญที่เป็น “ไทย” แล้ว กับมอญเมืองมอญ ยังมีปฏิสัมพันธ์และร่วมงานกันอยู่บ้าง เช่น การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมตามแนวชายแดน และกรณีของการฟื้นฟูประเพณีวัฒนธรรมมอญที่บ้านมอญ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ซึ่งแกนนำชุมชนก็ได้รับความช่วยเหลือจากมอญเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เนื่องจากมีความเป็นเครือญาติเชื่อมโยงกัน แต่ในส่วนของเครื่องแต่งกายนั้น ได้รับเอาการแต่งกายแบบมอญสังขละบุรี ที่ผู้ชายแต่งกายโดยใช้เสื้อพื้นขาว ตารางแดง โสร่งแดง ส่วนผู้หญิงแต่งกายโดยนุ่งซิ่นลายดอกพิกุล และคนในชุมชนก็ยอมรับว่า “นี่เป็นการแต่งกายแบบมอญแท้ๆ” ซึ่งฉันมองว่า นี่เป็นความคิดที่ได้รับอิทธิพลจากมอญเมืองมอญ เพราะการแต่งกายแบบนี้มอญเมืองมอญเป็นผู้คิดค้นขึ้นใหม่ [3] และนี่ก็เป็นตัวอย่างที่ทำให้ฉันที่ร่ำเรียนมานุษยวิทยาได้นึกถึงบทเรียนในวิชา “ธรรมชาติของวัฒนธรรม” ที่บอกว่าวัฒนธรรมมีการถ่ายเทถ่ายทอดซึ่งกันและกัน
ลูกหลานมอญบ้านมอญ กับการแสดงมอญรำ ที่ได้รับการถ่ายทอดจากนางปรุง วงศ์จำนง
ครูมอญรำจากเกาะเกร็ด
เรื่องการรับและถ่ายทอดทางวัฒนธรรมระหว่างมอญไทยกับมอญเมืองมอญนี้มีมานานแล้ว เรื่องที่ฉันมักจะได้ยินเสมอคือเรื่องการรับมอญรำ กล่าวคือย้อนไปเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วมอญเมืองมอญได้จ้างวงดนตรีมอญเมืองไทยไปเล่นที่มะละแหม่ง เพื่อเป็นการถ่ายทอดและฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมมอญที่หายไปมากในพื้นที่นั้น ซึ่งทางวงดนตรีมอญที่ไปจากไทยนอกจากจะได้ช่วยฟื้นฟูดนตรีแล้ว ก็ได้ค้นพบท่ารำมอญจากมะละแหม่งมา 10 ท่า หลังจากนั้นก็ได้เพิ่มเข้าไปอีก 2 ท่า จนกลายเป็น “มอญรำ” อันเป็นแม่แบบของมอญรำที่เกาะเกร็ด และถ่ายทอดสู่ชุมชนมอญอีกหลายแห่งในทุกวันนี้ [4]
จะเห็นได้ว่ามอญในเมืองไทยและมอญที่มาจากพม่า ก็มีการติดต่อกันเป็นปกติตั้งแต่สมัยก่อนเรื่อยมาจนปัจจุบัน ซึ่งก็มักจะเป็นเรื่องของการธำรงความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ การฟื้นฟูประเพณีวัฒนธรรม อย่างในงานใหญ่ประจำปีที่ทางชมรมเยาวชนมอญจัดคือ “วันรำลึกชนชาติมอญ” ก็เป็นงานที่เน้นด้านประเพณี วัฒนธรรม มีการทำบุญให้บรรพบุรุษ ร้องเพลงลูกทุ่งในเนื้อภาษามอญ เล่นสะบ้า ร้องรำดนตรีพื้นบ้านมอญ ส่วนมอญเมืองมอญที่มาร่วมงานนั้น ก็มาร่วมงานในส่วนการจัดเตรียมสถานที่ ร่วมการแสดงทางวัฒนธรรม ร่วมทำบุญให้บรรพบุรุษ มาฟัง มาพูดภาษามอญให้รู้สึกอบอุ่นใจเท่านั้น ซึ่งฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็น “ธรรมชาติของวัฒนธรรม” คือเป็นธรรมดาที่คนมาอยู่ต่างถิ่นต่างวัฒนธรรมจะมีความโหยหาวัฒนธรรมของตนเอง เมื่อมีการจัดงานประเพณีมอญขึ้นมา แรงงานข้ามชาติซึ่งเป็นชาวมอญมาร่วมงานบ้าง ก็น่าจะเป็นเรื่องปกติ แต่กระนั้นก็ยังโดนมองว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
มอญรำจากเมืองมะละแหม่ง (ประเทศพม่า) สายใยมอญ 2 เมือง ในงานศพพระสงฆ์มอญจังหวัดปทุมธานี
ฉันนึกไม่ออกว่างานทำบุญ งานร้องรำทำเพลงอย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงได้อย่างไร หรือจะเป็นเพราะว่าเขามองจากข้างนอก ซึ่งเป็นคนละมุมกับฉัน เข้าทำนอง “สองคนยลตามช่อง” คือมองของสิ่งเดียวกัน มองปรากฎการณ์เดียวกัน แต่มองมาจากคนละช่อง ฉันเห็นด้านหนึ่ง เขาเห็นอีกด้านหนึ่ง
วันนี้ฉันได้หยุดอยู่บ้านเขียนงาน อ่านหนังสือ ซึ่งหนังสือที่ได้อ่านคือ In the Balance เป็นหนังสือที่รายงานเกี่ยวกับผลกระทบที่ชุมชนท้องถิ่นได้รับจากการสร้างเขื่อนสาละวิน จัดทำโดยองค์กรเยาวชนมอญก้าวหน้า (แน่นอนว่าคนละองค์กรกับชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพ) รายละเอียดเป็นอย่างไร ไว้ค่อยพูดถึงกันทีหลัง แต่ครั้งนี้ฉันสนใจบทสัมภาษณ์ชาวบ้านริมแม่น้ำสาละวินบทหนึ่ง มีใจความว่า
“จริงๆ แล้วเราทำนายได้ว่าฤดูฝนจะมาช้าหรือเร็ว น้ำขึ้นลงเมื่อไหร่ ถ้าหากว่าฝนตกก่อนสงกรานต์แสดงว่าปีนี้ฤดูฝนจะมาเร็ว แต่ถ้าหากฝนตกหลังสงกรานต์แสดงว่าปีนี้ฤดูฝนจะมาช้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรฝนก็ต้องมาหลังจากสงกรานต์ประมาณ 40 วันแน่ๆ น้ำขึ้นประมาณ 2-3 ชั่วโมง หลังจากนั้นน้ำจะลง ในเวลานี้ชาวประมงจะจับปลาได้เยอะและทำเงินได้มาก เมื่อเรารู้สิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ทำให้เรามีความปลอดภัยในการอาศัย ณ ริมฝั่งน้ำ เรารู้ว่าเราจะเจออะไรในเวลาใด เราก็ปรับตัวไปตามความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติได้”
บทสัมภาษณ์นี้แสดงให้เห็นถึงการเข้าใจธรรมชาติของชาวบ้านที่อยู่ริมแม่น้ำสาละวิน เนื่องจากคนเหล่านี้อยู่อาศัยและพึ่งพิงฝนและน้ำตามธรรมชาติมาตลอด จึงได้เข้าใจธรรมชาติ พาให้ฉันคิดไปถึงว่าผู้ปกครอง ผู้นำ ซึ่งต้องปกครองคน อยู่กับคน ก็ควรจะเข้าใจธรรมชาติของ “ความเป็นคน” ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการที่คนเราต้องการความมั่นคงทางจิตใจด้วย และการรู้รากเหง้าของตนเองก็เป็นการเสริมสร้างความภูมิใจและความมั่นคงทางจิตใจทางหนึ่ง ชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพจัดงานต่างๆ ขึ้นก็เพื่อธำรงวัฒนธรรมประเพณีมอญไม่ให้สูญสลายไป ไม่ได้คิดเรื่องรัฐชาติหรือส่งเสริมให้มีการแบ่งแยกดินแดนในประเทศเพื่อนบ้านแต่อย่างใด ฉันในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพ อยากจะให้พ่อเมืองสมุทรสาครและผู้เกี่ยวข้องเข้าใจชมรมเราเสียที จะได้ไม่ต้องพาดพิงชมรมเราอย่างผิดๆ ถูกๆ เข้าใจว่าเรากำลังจัดตั้งกองกำลังทำอะไรบางสิ่ง (จินตนาการสูงมาก) ดังที่ท่านได้พูดในงานสงกรานต์ที่วัดเกาะ ซึ่งจริงๆ แล้วฉันก็เห็นว่าทางชมรมฯก็ยินดีที่จะให้ข้อมูลหรือพบปะพูดคุยทำความเข้าใจกับท่านเสมอ หากแต่เป็นท่านเองที่ระงับการพบปะโดยบอกว่า “เข้าใจแล้ว”
ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ในชุดโสร่งอีสาน และคำกล่าวเปิดงานที่ไม่มีสคริป
ในงานสงกรานต์มอญบ้านเกาะ จังหวัดสมุทรสาคร
*******************
อากาศร้อนขึ้นทุกปีๆ ใครๆ ก็ว่ามาจากภาวะโลกร้อน ร้อนๆ แบบนี้อาจส่งผลต่ออารมณ์ของผู้คนได้ ฉันหวังว่าท่านผู้อ่านบล๊อคนี้จะไม่หงุดหงิดเพราะอากาศที่ร้อนระอุ เพราะนี่ก็คือธรรมชาติ อันเป็นสิ่งที่เราต้องอยู่กับมัน และเดี๋ยวอากาศก็จะเย็นลงเองในฤดูฝน ซึ่งคนที่ไม่พยายามเข้าใจธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่เป็นลม ฟ้า ดิน ฝน ธรรมชาติของวัฒนธรรม หรือธรรมชาติของมนุษย์ ก็คงจะอยู่อย่างไม่มีความสงบสุขนัก
1 อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำเหล่านี้ได้ใน สุกัญญา เบาเนิด.การสร้างอัตลักษณ์ของคนมอญย้ายถิ่น : ศึกษากรณีแรงงานข้ามชาติในจังหวัดสมุทรสาคร.วิทยานิพนธ์ (สค.ม.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549
2 ข้อคิดเห็นจากการพูดคุยกับชาวมอญ ของดร.เจือจันทร์ วงศ์พลกานันท์
3 ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายมอญนี้ ดูข้อเขียนขององค์ บรรจุน ได้ที่ http://www.monstudies.com/show_content.php?topic_id=62&main_menu_id=5
4 ดูเพิ่มได้ที่ http://www.monstudies.com/show_content.php?topic_id=88&main_menu_id=14