Skip to main content
ข้อพิจารณาเรื่องความผิดฐานข่มขืนและความรับผิดทางกฎหมายอาญา: วิพากษ์การดำรงอยู่ของโทษประหารชีวิต (โดยสังเขป)
 
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
 
เมื่อเกิดข่าวคราวข่มขืนสะเทือนขวัญคราใด บรรดานักศีลธรรมก็จะออกมาเรียกร้องให้บัญญัติความผิดฐานข่มขืนต้องประหารชีวิตเป็นกระแสทุกครั้งไป ผมจึงถือโอกาสรวบรวมข้อเขียนเก่า ๆ ในเฟซบุคของผม มาเผยแพร่อย่างเป็นกิจจลักษณะอีกครั้ง พร้อมกับอภิปรายประเด็นการดำรงอยู่ของโทษประหารชีวิตไปในคราวเดียวกัน การกำหนดมาตรการการลงโทษทางกฎหมายวางอยู่บนฐานคิดในเรื่องความพอสมควรแก่เหตุ และจะขาดเสียมิได้ในการชั่งน้ำหนัก 'เกณฑ์ความรับผิดของความผิด' แต่ละประเภท อย่างเป็นเอกภาพในระบบกฎหมาย
 
การข่มขืน ก็คือ การประทุษร้ายต่ออวัยวะเพศหรือทวารหนัก (คือร่างกาย) ให้เกิดความเสียหาย
 
๑.เปรียบเทียบความรับผิดในความผิดฐาน 'ข่มขืน' กับ ความผิดฐาน 'ทำลายอวัยวะเพศถาวร'
 
ตามประมวลกฎหมายอาญา แยก "ความผิดเกี่ยวกับเพศ" เป็นอีกลักษณะหนึ่งแยกจาก "ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย" แต่โดยสภาพของการกระทำผิดก็มีลักษณะเดียวกันคือ ประทุษร้ายต่อกายหรือจิตใจ และความผิดเกี่ยวกับเพศ ก็มีการกำหนดอัตราโทษจำคุกสูงกว่า การทำร้ายร่างกายธรรมดาหลายเท่านั้น
 
มีประเด็นให้พิจารณาว่า การทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเสียความสามารถในการสืบพันธุ์ เช่น ทำลายอวัยวะเพศ นั้น มีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย โดยสภาพแล้ว รุนแรงยิ่งกว่าข่มขืนอีกนะครับ เพราะการข่มขืนทำให้อวัยวะเพศเสียหายแต่รักษาได้ แต่การทำลายอวัยวะเพศ นอกจากจะทำร้ายจิตใจแล้ว ยังสูญเสียอวัยวะเพศถาวร แต่ความผิดฐานทำลายอวัยวะเพศนั้น (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ วรรคสอง (๒)) มีโทษจำคุกเพียงตั้งแต่ ๖ เดือน ถึง ๑๐ ปีเองนะครับ อัตราโทษขั้นสูง เบากว่าความผิดฐานข่มขืนซะอีก
 
กลับกัน ความผิดฐานข่มขืน มีอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำตั้งแต่ ๔ ปี และสูงสุดคือ ๒๐ ปี จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันความรับผิดในคดีข่มขืนนั้น มีอัตราโทษที่สูงมากอยู่แล้ว (อย่างน้อยเมื่อเทียบเคียงกับความผิดฐานอื่นที่มีความรุนแรงโดยสภาพที่ร้ายแรงกว่า) และค่อนข้างจะไม่สมเหตุสมผลด้วยดังที่ผมได้เทียบกับความผิดฐานทำร้ายร่างกาย อันตรายสาหัสคือตัดอวัยวะเพศ แต่ก็ยังอยู่ในกรอบของการจำคุก ซึ่งอาจพอรับได้อยู่บ้าง ทั้งนี้ควรแยกแยะให้ดีว่า การข่มขืนแล้วฆ่า เป็นความผิดฐานฆ่าฐานหนึ่ง และเป็นความผิดฐานข่มขืนอีกฐานหนึ่ง อัตราโทษสูงสุดในกรณีนี้คือ ประหารชีวิต นั่นเอง (โปรดดูการอภิปรายเรื่อง 'ประหารชีวิต' ในข้อ ๓.)
 
ครั้นจะกำหนดความรับผิดฐานข่มขืนให้ถึงขนาดอัตราโทษสูงสุดคือ ประหารชีวิต นั้น หากเป็นกฎหมาย ก็ถือเป็นกฎหมายที่ขัดหลักรัฐธรรมนูญ เพราะขัดหลักความพอสมควรแก่เหตุ และถือเป็นกฎหมายที่ป่าเถื่อน ปราศจากความสมเหตุสมผล ทำลายความเป็นเอกภาพของระบบกฎหมาย เป็นกฎหมายที่กำหนดบทลงโทษตามอำเภอใจ หรือสนองความสะใจโดยปราศจากสำนึกในการชั่งน้ำหนักระหว่างอาชญากรรมและการลงทัณฑ์
 
๒.ความลื่นไหลของข้อเท็จจริงในคดี
 
ประเทศเราอยู่ในกลุ่มของรัฐที่มีโทษประหารชีวิต จะเห็นได้ว่า การมีโทษประหารชีวิตในระบบกฎหมาย ก็ไม่ได้ทำให้ผู้กระทำผิดเกรงกลัวไม่กล้ากระทำผิด เพราะการกระทำผิดนั้นมีปัจจัยที่ส่งเสริมจิตใจในขณะกระทำ ทั้งโดยธรรมดาของการกระทำผิด ผู้กระทำมีโอกาสสูงที่จะไม่ต้องรับโทษ เช่น หนีคดีจนหมดอายุความ หรือตำรวจจับผู้กระทำผิดไม่ได้ เป็นต้น ความเสี่ยงเหล่านี้ก็เป็นแรงสร้างเสริมจิตใจของผู้กระทำผิดไม่ว่าความผิด นั้นจะเป็นความผิดฐานฆ่า ฐานลักทรัพย์ หรือฐานหมิ่นประมาท คนก็กล้าที่จะเสี่ยงกระทำผิดแม้ว่าความผิดเหล่านี้มีบทลงโทษจำคุกทั้งสิ้น
 
นัทธี จิตสว่าง (อธิบดีกรมราชทัณฑ์ - ในขณะนั้น) เคยให้สัมภาษณ์ ลงมติชน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๔๙ ว่า "ขณะนี้มีผู้บริสุทธ์ถูกศาลพิพากษาจำคุกในทัณฑสถานประมาณ ๗๐%"  ผมไม่ทราบว่าอธิบดีกรมราชทัณฑ์ทราบได้อย่างไร แต่ก็เป็นตัวเลขที่น่าตกใจ และน่าทบทวนความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง จะเห็นได้ว่ากระบวนการในชั้นศาล มันไม่มีความแน่นอนที่จะได้ "ความจริง" ในห้องพิจารณาคดีเสมอไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถของทนายความ การชิงไหวชิงพริบในชั้นศาล การจัดหาพยานเท็จ การยัดข้อหา ความสามารถของทนายความ ตลอดจนการติดสินบนผู้พิพากษาตุลาการ เป็นต้น เหล่านี้ส่งผลต่อผลคำพิพากษาทั้งสิ้น
 
๓.ความไม่ไว้วางใจต่อตัวแปรในกระบวนการยุติธรรม และ การปฏิเสธการดำรงอยู่ของโทษประหารชีวิต
 
ดังได้กล่าวมาแล้วในข้อ ๒ จะเห็นได้ว่า คนที่คิดว่า "ยิ่งกำหนดบทลงโทษที่รุนแรง จะทำให้อาชญากรไม่กล้ากระทำความผิด" นั้นเป็นความคิดที่ค่อนข้างไร้เดียงสา คนพวกนี้มีฐานคิดเดียวกับการให้มีโทษประหารชีวิตในระบบกฎหมายเพราะเกรงว่า หากยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้วจะยิ่งมีคนกระทำความผิดมากยิ่งขึ้น และถ้าคุณกำหนดบทลงโทษรุนแรงมาก ๆ ไปประหารชีวิตเขา ภายใต้การพิพากษาคดีที่เสี่ยงมีความผิดพลาดสูงขนาดนี้ (ตัวแปรเยอะ - ข้อเท็จจริงลื่นไหลตลอดเวลา) แล้วถ้าปรากฏในภายหลังว่า คุณประหารชีวิตผิดคน เช่นนี้ ต่างจากการลงโทษจำคุกนะครับ ถ้าปรากฏในภายหลังว่าขังผิดคน ก็รื้อฟื้นคดีพิจารณาใหม่ได้ แต่คนตายแล้ว(คือถูกประหาร) ไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกเลย ทำนองเดียวกับการประหารชีวิตแพะในคดีสวรรคตนั่นเอง ดังนั้นเวลาจะกำหนดโทษต่าง ๆ ต้องครุ่นคิดตระหนักให้มาก ต้องพิจารณาความพอสมควรแก่เหตุด้วย จะเอาความสะใจเป็นฐานไม่ได้
 
ถ้าคิดว่าบทลงโทษสูง ๆ จะได้ไม่มีคนกล้าก่ออาชญากรรม นะ ต่อไปนี้แก้กฎหมาย "ทุกมาตรา กำหนดให้การกระทำผิดทุกอย่างมีโทษประหารชีวิต" สิครับ
 
เช่น ถ่มน้ำลายบนทางสาธารณะ (อาจแพร่เชื้อโรคทำร้ายคนอื่นๆได้) ทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง หมิ่นประมาท พูดจาหยาบคาย ฯลฯ เหล่านี้กำหนดเป็นความผิดลงโทษประหารชีวิตให้หมด ดูซิจะมีคนกล้ากระทำความผิดกฎหมายสักมาตราไหม
 
คำตอบคือ หากกำหนดให้การฝืนฝืนกฎหมายไม่ว่าจะมาตราใด ๆ ทุก ๆ มาตรา จะต้องประหารชีวิตแล้ว การกระทำความผิดไม่ลดลงหรอกครับ (มันไม่แปรผันกัน การกระทำความผิดไม่ได้ขึ้นอยู่ว่า กลัวโทษหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับแรงผลักดันแวดล้อมให้กระทำชั่วขณะ) เช่นนี้ ประชาชนจะมองว่ากฎหมายเหล่านี้มันไม่ใช่กฎหมาย เพราะขัดความยุติธรรมและไม่พอสมควรแก่เหตุอย่างรุนแรง จนกระทั่งกฎหมายแบบนี้มีสภาพเป็น 'กฎหมายปลอม/กฎหมายที่ไม่ใช่กฎหมาย' (false law/Unrichtiges Recht) ไม่อาจถือได้ว่าเป็นกฎหมายอีกต่อไป และถือว่าระบบกฎหมายเช่นนี้เป็นระบบกฎหมายที่ล้มเหลว.

บล็อกของ พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล

พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
โต้ จิตติ ติงศภัทิย์ เรื่อง "ยิ่งจริงยิ่งหมิ่นประมาท" ตามกฎหมายอาญา พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล อ.จิตติ ติงศภัทิย์ เป็นปรมาจารย์ทางกฎหมายอาญาของไทย และเป็นนักนิติศาสตร์ผู้หนึ่งซึ่งสนับสนุน  "คำพิพากษาประหารจำเลย(แพะ)ในคดีสวรรคตรัชกาลที่ ๘" [ดู หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๔๔/๒๔๙๗]  ภายหลังท่านดำรงตำแหน่งเป็นองคมนตรี ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ถาม-ตอบ ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสถานะของกฎหมายมณเฑียรบาล 
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ลำดับชั้นในทางกฎหมายของ "กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์" พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
กษัตริย์และคณะรัฐประหารของไทยผ่านคำอธิบายเรื่องพระราชนิยมของวิษณุ เครืองาม พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล [บันทึกความจำ] หมายเหตุ : ขอให้ท่านใคร่ครวญค่อย ๆ อ่านดี ๆ นะครับ คำอธิบายของ "วิษณุ เครืองาม" เช่นนี้ เป็นผลดีต่อกษัตริย์หรือไม่ อย่างไร
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวฯ : ว่าด้วยการจัดการองค์กรของรัฐสู่"ระบอบใหม่" พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
คำว่า"ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด" ในทรรศนะนายอุดม เฟื่องฟุ้ง ผู้บรรยายกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาและอดีตกรรมการ คตส. (ตามประกาศ คปค.ฉบับที่ ๓๐) : พร้อมข้อสังเกต พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
คดีคณะโต้อภิวัฒน์ (๒๔๗๘) ขับไล่รัชกาลที่ ๘-สังหารผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วจะอัญเชิญรัชกาลที่ ๗ ครองราชย์อีกครั้ง
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
โต้ธงทองฯ กรณีเทียบเคียงมาตรา ๑๑๒ กับกรณีหมิ่นประมุขต่างประเทศ, เจ้าพนักงานและศาล* พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ตุลาการที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ :คติกฎหมายไทยโบราณ พร้อมบทวิจารณ์ปรีดี พนมยงค์โดยสังเขป พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล "เมื่อใดกษัตริย์ใช้อำนาจนั้นโดยมิชอบก็มีสิทธิ์เป็นเปรตได้เช่นกันตามคติของอัคคัญสูตรและพระธรรมสาสตร"
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ร.๕ "ประกาศเลิกทาส" ภายหลังจากระบบไพร่ทาสได้พังพินาศไปเรียบร้อยแล้วในทางข้อเท็จจริง
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
รัชกาลที่๕ ตั้ง"เคาน์ซิลออฟสเตด"เพื่อกำจัดศัตรูทางการเมือง มิใช่จะตั้งศาลปกครอง/กฤษฎีกาแต่อย่างใด พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล 
พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
อำนาจบาทใหญ่ของคณะเจ้ารัชกาลที่ ๗ ช่วงก่อน ๒๔๗๕ : เจ้าทะเลาะกับราษฎร (กรณีนายจงใจภักดิ์) พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล, ค้นคว้า-เรียบเรียง