Skip to main content
 

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 กระทรวงพลังงานในฐานะผู้รับผิดชอบหรือจะเรียกว่าผู้จัดทำแผนผลิตไฟฟ้าเองได้จัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อปรับปรุง "แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า" ในช่วงปี 2551 ถึง 2564 ซึ่งเป็นแผนที่ได้จัดทำไว้ก่อนปี 2551 ในการรับฟังครั้งนี้ก็เพื่อจะได้ปรับปรุงเป็นครั้งที่ 2 สาเหตุที่ต้องปรับปรุงก็เพราะปัญหาเศรษฐกิจถดถอยทั้งในระดับโลกและในระดับประเทศไทยด้วย


นักวิชาการอิสระด้านพลังงานที่ไม่ใช่ข้าราชการของกระทรวงพลังงานก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจหลายอย่าง ขณะเดียวกันกลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าก็ได้ตั้งคำถามพร้อมแผ่นผ้าด้วยข้อความสั้น ๆ แต่เข้าใจง่ายว่า "นโยบายพลังงานผิดพลาด "ใครรับผิดชอบ"" (ภาพจากประชาไท) ผมจึงขอนำข้อความในแผ่นผ้านี้มาเป็นชื่อบทความเสียเลย


 

ถ้าจะแบ่งคู่ความขัดแย้งทางความคิดนี้ออกเป็นสองฝ่ายก็ได้แก่ ฝ่ายกระทรวงพลังงานที่มีปลัดกระทรวงเป็นหัวหน้า กับอีกฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มชาวบ้านและนักวิชาการอิสระ ข่าวไม่ได้บอกว่ามีกลุ่มผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการจ่ายค่าไฟฟ้าเป็นประจำได้เข้าร่วมหรือไม่ เพราะแผนหรือนโยบายพลังงานไฟฟ้าต้องมีผลกระทบต่อการกำหนดค่าไฟฟ้าอย่างแน่นอน


ในสภาพปัจจุบันของประเทศไทย เจ้าของโรงไฟฟ้าไม่ต้องกังวลใจใดๆเลยว่า ไฟฟ้าที่ตนผลิตได้จะ "ล้นตลาด" เหมือนสินค้าเกษตรหรือไม่ เพราะในสัญญาการก่อสร้างจะเป็นแบบไม่ซื้อก็ต้องจ่ายทั้งนั้น กล่าวคือ แม้ความต้องการไฟฟ้าจะลดลง แต่เอกชนผู้ผลิตไฟฟ้าจะต้องผลิตเท่าเดิม ผู้ที่จะต้องลดการผลิตลงก็คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เมื่อรัฐได้ลงทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าไปแล้ว แต่ไม่ได้ผลิตไฟฟ้า ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจึงตกกับเจ้าของรัฐซึ่งก็คือประชาชนนั่นเอง


อนึ่ง กลุ่มนักวิชาการอิสระดังกล่าว ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ปลัดกระทรวงพลังงาน (ดร.พรชัย รุจิประภา) คนเดียวมี 3 ตำแหน่ง คือ(หนึ่ง)ปลัดกระทรวงซึ่งมีหน้าที่ดูแลแผนพลังงานทั้งหมดของประเทศ (สอง)ประธานคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ(สาม) ตำแหน่งประธานคณะกรรมการ บริษัทผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ กฟผ. ด้วย


เมื่อมือข้างหนึ่งเป็นผู้จัดทำแผน แต่มืออีกข้างหนึ่งก็รับแผนมาผลิตให้ได้ตามแผน โดยที่สองมือนี้เป็นของคนคนเดียวกัน ปัญหาก็เกิดขึ้นกับแผนพลังงานของประเทศโดยไม่ต้องสงสัย


ประเด็นนี้เป็นหลักการสำคัญและใหญ่โตมากที่จะต้องแก้ไขและประชาชนผู้บริโภคเองก็ต้องรีบทำความเข้าใจ ในแต่ละปี คนที่อาศัยอยู่ในประเทศต้องเสียค่าไฟฟ้ารวมกันประมาณ 4 แสนล้านบาท ดังนั้น หากเกิดความผิดพลาดในแผนไปสัก 10-20 % ความเสียหายก้อนโตก็เกิดขึ้นกับผู้บริโภค


ประเด็นที่มีการโต้เถียงกันระหว่างคู่ขัดแย้งก็คือ

เดิมทีเดียว(จากการปรับปรุงแผนครั้งที่ 1) กระทรวงพลังงานมีแผนจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมในช่วงปี 2551-2564 จำนวน 30,390 เมกกะวัตต์ โดยใช้งบประมาณการก่อสร้าง 1.6 ล้านล้านบาท แต่เมื่อเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ (ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ระดับรางวัลโนเบลคนล่าสุดได้บอกว่า "ปัญหาได้ลุกลามจนเหนือการควบคุมไปแล้ว") ทางกระทรวงพลังงานก็ขอเสนอปรับแผน หรือลดการลงทุนลง 6,000 เมกกะวัตต์


ทางนักวิชาการอิสระเสนอว่า ควรจะลดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าลงจำนวน 10,520 เมกกะวัตต์ ไม่ใช่แค่หกพันเท่านั้น


ถ้าเราเชื่อตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน เราก็สามารถลดการลงทุนที่ไม่จำเป็นลงประมาณ 3.1 แสนล้านบาท แต่ถ้าเราเชื่อตามนักวิชาการอิสระ เราจะประหยัดเงินลงไปได้ 5.5 แสนล้านบาท


ต่างกันถึง 2.4 แสนล้านบาทเชียวนะ ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ เงินก้อนนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยไปง่าย ๆ ขอเรียนอีกครั้งว่า ผู้บริโภคไฟฟ้าควรจะต้องสนใจอย่างจริงจัง จะนั่งรอให้สหพันธ์ผู้บริโภค (กลุ่มของ ส.ว. รจนา โตสิตระกูล) หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทำงานอย่างโดดเดี่ยวไม่ได้อีกต่อไปแล้ว


คำถามที่กลุ่มชาวบ้านตั้งขึ้นอย่างซื่อ ๆ ว่า นโยบายพลังงานผิดพลาด "ใครรับผิดชอบ" ยังไม่ใครตอบได้ ยังไม่มีใครรู้ว่าใครถูกใครผิดเพราะเป็นเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง


เขียนมาถึงตรงนี้ก็นึกถึงวาทะเด็ดของ Niels Bohr นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล(ปี 1922) ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งที่มีความเข้าใจทางสังคมอย่างลึกซึ้งว่า "มันเป็นการยากมากที่จะทำการพยากรณ์ได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นเรื่องของอนาคต(It is very difficult to make an accurate prediction, especially about the future.)"


ถ้านึกถึงเรื่องโจ๊กหรือเรื่องล้อกันในวงการนักวิชาการว่า "เราสามารถแบ่งนักเศรษฐศาสตร์ได้ออกเป็นสองจำพวก คือพวกที่ทำนายอนาคตไม่ถูกกับพวกที่ไม่รู้ตัวเองว่าตนทำนายไม่ถูก"


อย่างไรก็ตาม เราในฐานะผู้บริโภค เราสามารถย้อนกลับไปดูในอดีตก็พบว่า กระทรวงพลังงานหรือในนามของ "คณะอนุกรรมการพยากรณ์การใช้ไฟฟ้า" ได้พยากรณ์เกินความจริงมาตลอด กล่าวเฉพาะเดือนมีนาคม 2551 ซึ่งภัยเศรษฐกิจยังลามมาไม่ถึง การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดได้สูงเกินจริงไปแล้วถึง 1,400 เมกกะวัตต์ คิดเป็นตัวเงินก็มากโขอยู่


ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของนักฟิสิกส์รางวัลโนเบลหรือเรื่องโจ๊กของนักเศรษฐศาสตร์นั้น ต่างตั้งอยู่บนสมมุติฐานของความบริสุทธิ์ใจในการพยากรณ์ แล้วผลการพยากรณ์ก็เป็นเรื่อง "ยากมาก" ที่จะถูกต้อง แต่ถ้าการพยากรณ์นั้นตั้งอยู่บนสิ่งอื่นที่ไม่ตรงไปตรงมาด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่


ผู้อ่านหลายท่านอาจจะรู้สึกเห็นใจผู้ทำการพยากรณ์ ว่า "ผิดพลาดบ้าง" เป็นเรื่องธรรมดา แต่ข้อมูลในอดีตมันไม่ใช่แค่ "บ้าง" แต่มันเกินจริงทุกครั้ง และมีขนาดเป็นตัวเงินมากเสียด้วย


ในช่วงเศรษฐกิจปี 2540 เราพบว่าในปี 2544 เรามีโรงไฟฟ้าสำรองมากเกินจริงถึง 4 แสนล้านบาท การใช้ไฟฟ้าในช่วงนั้นได้ลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกันถึง 32 เดือน (กรกฎาคม 2540 ถึง กุมภาพันธ์ 2543)


คราวนี้ ผมได้เข้าไปดูข้อมูลของกระทรวงพลังงาน ล่าสุดพบว่าการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยได้เริ่มลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนตั้งแต่เดือนกันยายน 2551 โดยมีอัตราการลดลง 0.1% แต่พอมาถึงเดือนธันวาคม กลับลดลงถึง 10.3% ไม่มีใครทราบได้ว่ามันจะลากยาวไปสั้นกว่าหรือนานกว่า 32 เดือน ในกรณีโรคต้มยำกุ้ง


สิ่งที่เป็นปัญหาสำคัญยิ่งในการพยากรณ์ของบ้านเราก็คือ การคิดถึงความต้องการในอนาคตบนพื้นฐานร้อยละของปัจจุบัน เมื่อปัจจุบันมันลดลง การพยากรณ์ในอนาคตยิ่งผิดพลาดมากขึ้น กล่าวให้ชัดเชิงตัวเลขก็คือ ถ้าเราเชื่อว่าอัตราการเติมโตปีละ 5% ถ้าฐานเดิมลดลงจาก 1,000 หน่วยมาอยู่ที่ 900 หน่วย อีก 15 ปีผ่านไป ความแตกต่างจะสูง 208 หน่วย


ปัจจุบันเรามีโรงไฟฟ้าอยู่เกือบ 3 หมื่นเมกกะวัตต์ ดังนั้นความแตกต่างของผลการพยากรณ์กับความเป็นจริงจะสูงมาก

นี่คือปัญหาใหญ่

แล้วเราควรจะพยากรณ์อย่างไรดี?

การตั้งคำถามนี้อาจจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทั้งหมด


ความจริงทั้งหมดก็คือ ยังมีโรงไฟฟ้าอีกประเภทหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องวางแผนระยะยาว แต่รัฐบาลและกระทรวงพลังงานไม่สนใจ นั่นคือโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น โรงไฟฟ้าจากกังหันลม โรงไฟฟ้าชีวมวล (จากขี้หมู ของเสียจากโรงงาน) เป็นต้น


โรงไฟฟ้าประเภทดังกล่าวใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 1 ปีเท่านั้น โดยไม่ต้องเสี่ยงกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ในขณะที่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น โรงไฟฟ้าจากถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ต้องใช้เวลานานถึง 5-7 ปีในการก่อสร้างและการสร้างการยอมรับจากชุมชน หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อาจใช้เวลานานถึง 12 ปีซึ่งเสี่ยงมากที่จะเกิดการผันผวน


ระยะเวลาในอนาคต 5-12 ปีเป็นเรื่องยากที่จะพยากรณ์ได้ถูกต้อง แต่ถ้าสั้นลงมาเพียง 1 ปีก็เป็นเรื่องไม่ยากที่จะพยากรณ์และวางแผน


ท่านผู้อ่านที่รับข้อมูลด้านเดียวจากกระทรวงพลังงานและจากกลุ่มพ่อค้าพลังงานมาตลอด อาจจะคิดว่า "เมืองไทยไม่มีลมแรงพอจะผลิตไฟฟ้า ไม่เหมือนประเทศในยุโรป ต้นทุนกังหันยังแพงมาก" ต่างๆ นานา

แต่ผลการศึกษาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ตลอดจนของกระทรวงพลังงานเองก็สรุปว่ามีความเป็นไปได้ แต่ผลการศึกษานี้ก็ถูกเผยแพร่ในวงจำกัด ไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะ


ผมอยากจะจบบทความนี้ด้วยข้อสรุปของนักเคลื่อนไหวด้านพลังงานหมุนเวียนว่า

"ความเป็นไปได้ของพลังงานลม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วลม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยี และไม่ได้ขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิต แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลเท่านั้น"


เมื่อผู้วางนโยบายตลอดจนผู้วางแผนพลังงาน ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆ เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น ภาระที่ไม่จำเป็นก็ตกเป็นของประชาชนอยู่ร่ำไป


"ได้ยินบ่ พี่น้อง ได้ยินบ่" เสียงเพลงของน้าหงา คาราวาน ผ่านเข้ามาในสมองของผมโดยไม่ได้ตั้งใจครับ.

บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
เคยมีคนไปถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ว่า “ท่านคิดว่าสิ่งประดิษฐ์ใดของมนุษย์ที่มีอำนาจในการทำลายล้างมากที่สุด” ผู้ถามคงจะคาดหวังว่าไอน์สไตน์น่าจะตอบว่า “ระเบิดนิวเคลียร์” เพราะเขามีส่วนเกี่ยวข้องในการประดิษฐ์คิดค้นอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย แต่ไอน์สไตน์กลับตอบว่า “สูตรดอกเบี้ยทบต้น”
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ เมื่อกลางเดือนธันวาคม ปี 2552 ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุม “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ” ในงานนี้ได้มีโอกาสฟังปาฐกถาจากประธานศูนย์ศึกษาประเทศภูฎาน คือท่าน Dasho Karma Ura
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ “รักเจ้าจึงปลูก” เป็นชื่อโครงการที่ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์กำลังครุ่นคิดเพื่อใช้ในการพัฒนาคุณภาพนักศึกษา ผมเองได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้มา 2 ตอนแล้ว
ประสาท มีแต้ม
  1. คำนำ       ภาพที่เห็นคือบริเวณชายหาดชลาทัศน์ อ.เมือง จังหวัดสงขลา (ถ่ายเมื่อพฤศจิกายน 2552) หาดนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากของชาวเมืองสงขลา อยู่ทางตอนใต้ของหาดสมิหลาที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักดีประมาณหนึ่งกิโลเมตร สิ่งที่เห็นในภาพที่มีถุงทรายสีขาว ยางรถยนต์เก่ายึดด้วยไม้หลักปักทราย รวมทั้งรูปต้นสนล้ม คงสะท้อนทั้งความรุนแรงของปัญหาและความพยายามแก้ปัญหาของผู้ที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี
ประสาท มีแต้ม
1. ความเดิม ในตอนที่ 1 ผมได้นำข้อมูลที่มาจากงานวิจัยของกระทรวงศึกษาธิการที่พบว่า นักเรียนทุกระดับชั้นของประเทศไทย ทั้งระดับ ป.6 , ม.3 และมัธยมปลายมีคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งทุกวิชา โดยวิชาที่สอบได้คะแนนน้อยที่สุดคือวิชาคณิตศาสตร์ ได้เพียงร้อยละ 29.6 เท่านั้น ในตอนที่ 2 นี้ ผมจะกล่าวถึงปัญหาที่ได้ตั้งไว้ในชื่อบทความ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณภาพการศึกษาเราตกต่ำ นอกจากนี้ ผมได้นำเสนอความคิดเห็นและความพยายามของผู้บริหารระดับสูงสุดของมหาวิทยาลัยด้วย
ประสาท มีแต้ม
๑. คำนำ ผมขอเรียนกับท่านผู้อ่าน “ประชาไท” ตามตรงว่า ผมใช้เวลานานมากในการคิดว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี เขียนทิ้งเขียนขว้างไปหลายชิ้น ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งเพราะว่าผมสับสนในตัวเอง ไม่ทราบว่าจะนำเสนออะไรดีให้เข้ากับสถานการณ์บ้านเมือง
ประสาท มีแต้ม
๑. ปัญหาในภาพเล็ก ที่ภาควิชาที่ผมทำงานอยู่คือ ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กำลังคิดทำโครงการที่จะพัฒนานักศึกษานอกเหนือจากรายวิชาและกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ทำกันอยู่ตามปกติแล้ว โครงการยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดีนัก แต่ชื่อโครงการก็ค่อนข้างจะเห็นตรงกันคือ “โครงการรักเจ้าจึงปลูก” ที่มาจากเนื้อเพลง “อิ่มอุ่น” ของ ศุ บุญเลี้ยง
ประสาท มีแต้ม
ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีวิชาบังคับให้นักศึกษาต้องเรียนอยู่วิชาหนึ่งจำนวน 3 หน่วยกิต ชื่อว่า “วิชาวิทยาเขตสีเขียว (greening the campus)” วัตถุประสงค์หลักของวิชานี้ก็คือ ให้นักศึกษาลุกขึ้นมาศึกษาปัญหาส่วนรวมหรือปัญหาสาธารณะที่อยู่ในวิทยาเขตของตนเอง แต่โดยมากมักจะเน้นไปที่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาการจราจร ปัญหาขวดน้ำพลาสติกที่มีมากอย่างไม่น่าเชื่อ ปัญหาการประหยัดพลังงาน และกระดาษ เป็นต้น
ประสาท มีแต้ม
ทั้ง ๆ ที่ประเทศเรากำลังประสบกับวิกฤติหลายด้าน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง วิกฤติเศรษฐกิจ และการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นต้น แต่สื่อกระแสหลักก็ให้ความสำคัญกับข่าวความขัดแย้งในการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมทั้งความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลโดยไม่มีอะไรใหม่สร้างสรรค์ให้กับสังคม
ประสาท มีแต้ม
ในขณะที่กระแสสังคมส่งสัญญาณไม่พอใจกับราคาน้ำมันที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นทุกขณะ คณะรัฐมนตรีก็มีมติเห็นชอบตามคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ลดการนำเงินเข้ากองทุนน้ำมันและกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนของ ดีเซล ลิตรละ 2 บาท
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำขณะนี้หลายท่านคงจะรู้สึกกังวลร่วมกันว่า ราคาน้ำมันกำลังมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นจนอาจถึงหรือสูงกว่าเมื่อกลางปี 2551 (ดูกราฟประกอบ-ต่ำสุดเดือนธันวาคม 2551 ที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จนมาถึงเกือบ 80 ในเดือนสิงหาคมปีนี้)   ซึ่งจะนำความเดือดร้อนมาสู่เรามากน้อยแค่ไหนก็คงพอจะนึกกันออก
ประสาท มีแต้ม
ผมได้รับเชิญจากคณะกรรมาธิการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อ"ชี้แจงแสดงความคิดเห็น" เรื่อง ค่าการกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อ 1 กรกฎาคม 52 คนนอกที่นอกจากผมแล้วก็มีอีก 6 -7 ท่าน ได้แก่ผู้แทนกระทรวงพลังงาน ผู้แทนบริษัทบางจาก, บริษัท ปตท. นายกสมาคมผู้ค้าน้ำมันแห่งประเทศไทย, คุณรสนา โตสิตระกูล และนักวิชาการปิโตรเลียม เป็นต้น