Skip to main content

 

 
 
สมยศ  พฤกษาเกษมสุข
 

ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์การเมือง อธิบายเรื่องชนชั้นที่แตกต่างกันในแต่ละวิถีการผลิต (Mode  of Production) ผู้ที่ครอบครองเงินทุน  ปัจจัยการผลิตย่อมมีอำนาจเหนือกว่าในการกดขี่เอารัดเอาเปรียบ คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ครอบครองทรัพยากร สังคมจึงแบ่งออกเป็นสองชนชั้นคือ  ชนชั้นผู้กดขี่เป็นคนร่ำรวย มั่งคั่ง เป็นอภิสิทธิ์ชน  และชนชั้นผู้ถูกกดขี่เป็นคนยากจน แร้นเค้น ด้อยโอกาส
 
กลุ่มคนที่มั่งคั่ง ร่ำรวย ย่อมมีอำนาจและอิทธิผลทางการเมือง จึงออกกฎหมายปกป้องทรัพย์สมบัติ และผลประโยชน์ของพวกเขา มีกลไกบังคับใช้คือ มีทหารไว้สำหรับเข่นฆ่า ปราบปราม พวกที่มีความคิดเห็นแตกต่าง หรือการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่ไปขัดขวางผลประโยชน์ของชนชั้นผู้กดขี่มี ตำรวจ – ศาล – คุกตะราง ไว้คุมขังพวกที่สร้างปัญหาต่อทรัพย์สิน และความเป็นอภิสิทธิ์ชนของพวกเขาทั้งหลาย
 
คุก-ตะราง ไม่ได้มีไว้สำหรับอาชญากรอย่างเดียว แต่ยังใช้เป็นเครื่องมือทางชนชั้นหรือเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกดขี่ราษฎร ปิดหู ปิดตา และละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกด้วย โดยมีวัตถุประสงค์ให้บุคคลเหล่านี้ยุติการเคลื่อนไหวทางการเมือง  ยุติการแสดงความคิดเห็น หรือยุติการกระทำที่ไปขัดขวางผลประโยชน์ทางการเมืองของผู้มีอำนาจทางการเมืองในแต่ละยุคสมัย
 
ผู้ต้องขังหรือนักโทษจึงมีอยู่ 3 ชนิด คือ หนึ่ง พวกกระทำความผิดจริง เป็นอาชญากร เป็นอันตรายต่อสังคม   สอง นักโทษการเมืองเป็นพวกมีความคิดเห็นแตกต่างไปจากผู้มีอำนาจ หรือไปขัดขวางผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ   สาม  เป็นพวกที่ต่อสู้พิสูจน์คดี  พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง  คดียังไม่สิ้นสุด ไม่ได้รับสิทธิประกันตัว
 
นักโทษสองประเภทหลังนี่แหละเป็นตราบาป และเป็นความชั่วช้าสามานย์ของกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย ที่มีมาช้านานแล้ว ผู้พิพากษาได้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางการเมือง  ร่ำรวยมั่งคั่งด้วยทรัพย์สินเงินทองมากมายไม่ต้องถูกตรวจสอบทรัพย์สิน กลายเป็นพวกอภิสิทธิ์ชนเอาเปรียบประชาชนเสมอมา

สองมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรม โดยเนื้อแท้แล้วก็คือ การกดขี่ เอารัดเอาเปรียบทางชนชั้น เป็นการเลือกปฏิบัติ ให้คนกลุ่มหนึ่งรอดพ้นจากการบังคับใช้กฎหมาย เป็นการอะลุ้มอล่วยในหมู่พวกพ้องชนชั้นเดียวกัน แม้แต่เป็นคนยากจนซึ่งเป็นชนชั้นผู้ถูกกดขี่ แต่ถ้าได้กระทำความผิดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นผู้กดขี่เอารัดเอาเปรียบย่อมได้รับการยกเว้นจาก ตำรวจ – ศาล – คุกตะราง   ในทางกลับกันในหมู่ชนชั้นสูง ผู้กดขี่หากขัดผลประโยชน์กันเองก็อาจถูกกลไกเหล่านี้เล่นงานได้
 
ปรากฏการณ์สองมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรมระหว่างกลุ่มคนเสื้อเหลืองในนามของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับกลุ่มคนเสื้อสีแดงในนามของแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ ที่เกิดขึ้นภายหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมาก็คือบทสะท้อนการต่อสู้ทางชนชั้น เมื่อกลุ่มคนเสื้อเหลืองกระทำความผิดฉกาจฉกรรจ์ แต่ปกป้องผลประโยชน์ของอำมาตย์ ย่อมได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกดำเนินคดี หรือได้รับการผ่อนปรน   ส่วนกลุ่มคนเสื้อแดงทำความผิดเล็กน้อย กระทั่งไม่ผิดเลย เพียงถูกกล่าวหาให้ร้ายป้ายสี พวกเขาต้องตายกลางถนนเหมือนหมู หมา กา ไก่ หรือไม่ก็ถูกจับไปขังคุกตะราง ไม่ให้สิทธิประกันตัว หรือลงโทษกันอย่างรุนแรง
 
คุก – ตะราง แต่ดั้งเดิม แยกย้ายกันสังกัดอยู่ตามหน่วยงานต่าง ๆ มากมายหลายแห่ง หรืออาจสร้างขึ้นมาเป็นการเฉพาะเจาะจง เช่น คุกใต้ถุนจวนเจ้าเมืองแพร่  คุกเมืองลำปาง  คุกอยู่ใต้ปราสาทเจ้าผู้ครองเมือง

แต่เดิมกษัตริย์มีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว การตัดสินคดีความขึ้นอยู่กับกษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาด หากราษฎรจะร้องทุกข์ถวายฎีกาต่อกษัตริย์จะต้องถูกเฆี่ยนตี เสียเงิน จึงจะยอมให้ตีกลอง การไต่สวนมักเป็นไปในลักษณะการทรมานให้รับสารภาพ และการลงโทษเป็นแบบ “ตาต่อตา  ฟันต่อฟัน”  ให้เกิดความเจ็บปวด ให้เข็ดหลาบ ซึ่งมีหลายวิธีเช่น การเฆี่ยนตี  การใส่ขื่อคา  การบีบขมับ  การตอกเล็บ  ถ่างแขน-ขา  การใส่หีบปิดฝา  การใส่ตะกร้อให้ช้างเตะ  การตัดอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งเช่น ตัดนิ้วมือ ควักลูกนัยน์ตา ส่วนการประการชีวิตใช้วิธีการป่าเถื่อนอำมหิต เช่น กดให้จมน้ำตาย  แขวนคอ  ตัดหัว  เอาไฟครอก

สมัยรัชการที่5 ปี 2443 ได้สร้างคุกขึ้นมาใหม่เรียกว่ากองมหันตโทษที่บริเวณสวนรมณีนาถ ถนนมหาไชย แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กรุงเทพ ต่อมาจึงสร้างคุกขึ้นมาอีกแห่งหนึ่งที่ตำบลบางขวาง จังหวัดนนทบุรี ใช้ชื่อว่าเรือนจำกองมหันตโทษต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเรือนจำกลางบางขวางในปัจจุบัน ส่วนที่ถนนมหาไชยเปลี่ยนชื่อเป็นเรือนจำกองลหุโทษ จนถึงปี 2505 ได้มีการก่อสร้างเรือนจำกลางคลองเปรมขึ้นมา พอปี 2513 จึงยุบที่ถนนมหาไชยย้ายมาที่เรือนจำกลางคลองเปรม ในปี 2516 จึงจัดตั้งเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ซึ่งติดกันกับเรือนจำกลางคลองเปรมบนเนื้อที่ 24 ไร่ 72 ตารางวา ส่วนที่ถนนมหาไชยปี 2535 กลายเป็นสวนสาธารณะที่มีชื่อว่า “สวนรมณีนาถ”
 
คุกตะรางแต่ไหน แต่ไรมาเป็นที่คุมขังพวกอันธพาล และอาชญากร การถูกคุมขังเป็นนักโทษทำให้ขาดเสรีภาพในชีวิตทุกด้าน เป็นการลดทอนความเป็นมนุษย์ลงไปโดยสิ้นเชิง จึงเป็นชีวิตที่โดดเดี่ยว อ้างว้าง ทุกข์ทรมานแสนสาหัส ทั้งทางร่างการ และจิตใจ แม้พ้นโทษไปแล้ว สังคมยังตราหน้าว่าเป็นคนคุก ไม่อาจใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม|
 
แม้ปัจจุบันคุกจะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น นักโทษมีมาตรฐานความเป็นอยู่ดีขึ้นเพื่อเปรียบเทียบกับสภาพคุกแต่โบราณกาล แต่คุกก็คือคุกอยู่วันยังค่ำ  เมื่อไรก็ตามที่คุณเข้าคุก ความเป็นคนจะสูญหายไปทันที  ดังนั้นไม่จำเป็นก็อย่าเยื้องย่างเข้ามาในคุกเป็นอันขาด
 
 
 
วันที่  3   กันยายน   2555

 

บล็อกของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข

สมยศ พฤกษาเกษมสุข
 สมยศ  พฤกษาเกษมสุข1 ธันวาคม 2556
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี ทั่วโลกกำหนดให้เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี แต่ปัญหาความรุนแรงต่อสตรียังทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในทุกมิติของสังคมไทย
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ พฤกษาเกษมสุข13  พฤศจิกายน  2556  
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
แม้การนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งจะดูโง่เง่าสุดพระเดช พระคุณเพียงใด ผู้เขียนมองเห็นความฉลาดอย่างหนึ่งของ การกระทำอันอุกอาจในครั้งนี้ของนักการเมืองพรรคเพื่อไทย คือ ฉลาดที่จะลืมคราบเลือดและน้ำตาของประชาชน และเลือกที่จะตกลงผลประโยชน์ได้เสียกันกับฝ่ายอำมาตย์ทันที โดยไม่ต้องเสียแรงสู้ให้เหนื่อย ไม่ต้องเสี่ยงเสียเลือดเสียเนื้อ เสี่ยงติดคุกติดตะราง เหมือนประชาชนที่ร่วมต่อสู้กันมา นั้นเอง
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
  สมยศ  พฤกษาเกษมสุข4  ตุลาคม 2556 
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ  พฤกษาเกษมสุข3 กันยายน 2556 
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
 สมยศ  พฤกษาเกษมสุข22  มิถุนายน 2556