ก่อนจะเล่าถึงนักเล่าเรื่องในที่อื่น ผมอยากเล่าถึงเรื่องอื่นก่อน
นี่คงจะเป็นครั้งหลังๆ แล้ว ที่ผมจะใช้เวลาพูดถึงนักวิชาการไทย ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง ผมจะเอ่ยถึงพวกเขาในฐานะตัวแทนของลักษณะนิสัยแบบหนึ่งที่เป็นกันอยู่ในแวดวงการศึกษา หรือบางทีอาจมากกว่าการศึกษา แต่เป็นที่ใดก็ตามที่การต้องบอกสอน สนทนา และสร้างสรรค์ จะย่างกรายไปถึง
ตอนที่ผมยังเด็กกว่านี้และเริ่มสนใจมนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ ผมเลือกอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับโพสต์โมเดิร์น1 นักวิชาการไทยคนหนึ่งเล่าถึงฉากการถามไถ่กันระหว่างคนจำนวนหนึ่งว่า “คุณคิดอย่างไรกับกรณีนี้” กรณีไหนผมก็จำไม่ได้ และมันก็ไม่สำคัญเท่าไร แต่คำตอบหลังจากคำถามว่าคิดยังไงนั้นกลายเป็นอะไรประมาณว่า “ถ้าเป็นเพลโตจะคิดประมาณนี้” “ถ้าเป็นพวกพรีโมเดิร์น2จะคิดประมาณนี้” “และถ้าเป็นรุสโซ3จะคิดประมาณนี้” ในความทรงจำคลับคล้ายคลับคลา ใครสักคนในบทสนทนานี้ถามขึ้นมาว่า “แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไร” หลังจากนั้นความทรงจำของผมเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ก็เงียบลง ไม่มีคำตอบตอบกลับมาว่าตัวคุณ หรือตัวผู้เขียนคิดอย่างไร หรือหากมันมี มันก็คงเบาบางเหลือเกินจนผมจำไม่ได้
ผมจำได้ว่าเขาเล่าต่อด้วยน้ำเสียงค่อนข้างภูมิใจในความเป็น ‘นักวิชาการด้านปรัชญา’ อะไรสักอย่าง ที่ปฏิเสธที่จะใช้ความคิดของตัวเองเข้าไปยุ่งกับสรรพสิ่ง แต่ทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความคิดของคนอื่นที่เข้าไปยุ่งกับสรรพสิ่ง โลกเราอาจต้องการลักษณะนิสัยแบบนี้ในหลายๆ บทบาท ผมได้รับความช่วยเหลือจากนักวิชาการรูปแบบนี้อยู่บ่อยครั้งและซาบซึ้งใจที่มีพวกเขาอยู่
แน่นอนว่าอะไรหลายอย่างบนโลกนี้มันก็ไม่เป็นปัญหาอะไร จนกระทั่งมันมีอำนาจมากเกินไปขึ้นมา
เรามาลองคิดกันไหมว่าถ้านิสัยแบบนี้กลายเป็นแนวคิดที่ครอบครองความเป็นไปทางการศึกษาของประเทศทั้งประเทศ มันจะเป็นอย่างไร? อันที่จริงมันหมายความว่า เราเป็นอย่างไร?
คะแนนเต็ม ความถูกต้อง และการฆ่าตัวตายก่อนสนทนา
อะไรคือการฆ่าตัวตายก่อนสนทนา
หากคุณเคยเก็บความเชื่อของคุณเอาไว้ในใจ และตอบข้อสอบไปตามที่เข้าใจว่าตอบแบบนั้นแล้วอาจารย์จะให้คะแนน นั่นคือสิ่งที่คุณทำ คุณฆ่าตัวตายก่อนที่จะเขียนลงไป และนั่นคือสิ่งที่การศึกษาตะล่อมให้คุณทำมาโดยตลอด ให้ฆ่าตัวตายก่อนที่จะสนทนากับใครๆ เพราะตัวคุณเองไม่มีค่าอะไร คุณต้องไปเรียนรู้วิธีคิดที่มีค่ากว่าตัวคุณ และคิดตามมันให้ถูกต้อง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในการศึกษา มีกี่ครั้งกันที่เราได้คะแนนเพราะเราพูดสิ่งที่ตัวเองเห็น คิด และเชื่อออกไปจริงๆ?
อะไรคือคะแนนเต็มของอารยธรรมมนุษย์? มันไม่มีอยู่ แต่เราจะเห็นว่ามันมีอยู่ในการศึกษาที่เกี่ยวกับมนุษย์ เราได้ออกแบบประเภทของการศึกษามาให้เราสับสนกับตัวเองมากขึ้น มนุษย์เรากระจัดกระจาย ซับซ้อน และแต่ละคนเติบโตขึ้นมาโดยไม่อาจมีคนอื่นหรือกระทั่งตัวเองมาอธิบายถึงการเติบโตนั้นได้ถูกต้องทั้งหมด แต่การศึกษามนุษย์มีคะแนนเต็มอยู่ที่หนึ่งร้อยคะแนน บางทีนี่อาจเป็นวิธีการใช้คณิตศาสตร์ที่ผิดพลาดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของพวกเราเอง คือเราใช้หน่วยแทนสิ่งที่วัดได้มาแทนสิ่งที่เรายังไม่แน่ใจว่าเราวัดได้หรือเปล่า เช่นตัวเราเอง น้ำ ตักขึ้นมาหนึ่งร้อยกิโลสองครั้งก็หนักเท่ากัน หินสองก้อนก็มีสองก้อน แต่ในยี่สิบคะแนนของนักศึกษาสองคนนั้นเท่ากันหรือเปล่า?
ดูเหมือนว่าเราจะให้ความน่าเชื่อถือกับตัวเลขที่มีอยู่เพื่อให้เราตีความ ประหนึ่งว่ามันเป็นตัวเลขที่บ่งบอกข้อเท็จจริง และความรู้อื่นๆ ที่เราเรียนมาก็เช่นกัน เราเรียนมันประหนึ่งว่าพวกมันเป็นข้อเท็จจริงที่อยู่นอกเหนืออำนาจการตีความของเรา
ปลายปีนี้ผมได้แปลบทความหนึ่งของคนที่ผมไม่รู้จัก เป็นนักวิจารณ์ศิลปะจากสิงคโปร์ชื่อ เวง ชอย ลี ลงในหนังสือรวมบทความแปลชื่อ ‘นักเล่าเรื่องก่อนรุ่งสาง’ บรรณาธิการ จุฑา สุวรรณมงคล พี่เจน นั่นเป็นช่วงเดียวกับที่ผมทำงานกับพี่ตุ้ม อินทิรา วิทยสมบูรณ์ กับโครงการ ‘นักเล่าเรื่องในทื่อื่น’ สองคนเป็นเพื่อนไม่กี่คนในชีวิตของผมที่ได้พบเจอในชีวิตการทำงาน เราแบ่งปันกันหลายอย่างโดยไม่ได้ฆ่าตัวตายใส่กันก่อนจะสนทนา ผมตีความว่านั่นคือการเรียนรู้ที่ไม่รู้ว่าคะแนนเต็มอยู่ที่ไหน
บทความที่แปลกับการเดินทางไปที่อื่นซึ่งพัวพันอยู่กับการเล่าเรื่องทำให้ผมรู้สึกถึงบางอย่างที่เกิดขึ้น คือเราทั้งรู้สึกว่าตัวเราเองช่างไม่รู้อะไรเลย และทั้งรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าเหลือเกินไปพร้อมๆ กัน และนั่นเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยครอบคลุมไปถึงคนอื่นๆ ด้วย คือพวกเราช่างไม่รู้อะไรเลย พวกเราช่างรู้ได้แค่เท่าที่ตัวเองรู้และติดอยู่แต่ในโลกของตัวเอง และนั่นทำให้การสนทนาของพวกเราทั้งหมดในฐานะโลกอื่นของกันและกัน มีคุณค่าต่อกันและกันมากเหลือเกิน พวกเราจึงทั้งไม่รู้อะไรเลยและมีคุณค่ามากเหลือเกินในเวลาเดียวกัน สภาวะเช่นนี้ถูกหรือผิดอย่างไร และควรจะได้กี่คะแนนกัน?
เราจะเหลืออะไร หากไม่มีอะไรรับรองความถูกต้องให้เรา
นึกถึงการ์ตูนเรื่องยูกิที่ดูตอนเด็กๆ มันเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่ตัวละครแต่ละตัวจะสู้กันด้วยสำรับไพ่ ในไพ่นั้นมีสัตว์ประหลาดที่จะออกมาสู้กับฝั่งตรงข้ามตามคำสั่งของผู้เล่น มีประโยคหนึ่งในเรื่องนี้ที่ชอบพูดกันเวลาที่ผู้เล่นฝั่งตรงข้ามหมดไพ่ในมือ หรือสัตว์ประหลาดเหล่านั้นต้องคำสาปจนไม่สามารถต่อสู้อะไรแทนผู้เล่นได้ ฝั่งตรงข้ามก็จะพูดว่า ‘โจมตีที่ผู้เล่นโดยตรง’ สัตว์ประหลาดก็จะโจมตีที่ผู้เล่นที่ไม่มีไพ่อะไรในมือ และพอเลือดของผู้เล่นถูกโจมตีจนหมด ผู้เล่นคนนั้นก็แพ้
ฝั่งตรงข้ามของเราคือสิ่งที่เรากำลังเผชิญหน้า เป็นหัวข้อที่เรากำลังจะศึกษา หรือเป็นที่อื่นที่เรากำลังจะเข้าไปเรียนรู้ สัตว์ประหลาดในสำรับไพ่ของเรานั้นอาจเหมือนกับข้อมูลหรือกรอบวิธีคิด ความรู้ที่เราต่างฝังใจว่าถูกต้อง มันดูจะปกติดีหากมันเป็นการต่อสู้ปกติที่ฝั่งตรงข้ามเล่นอะไรคล้ายๆ กับเราและสามารถจบเกมได้โดยไม่แตะต้องตัวกันเลย แต่หากที่อื่นหรือผู้เล่นฝั่งตรงข้ามที่กำลังเล่นในแบบที่เราไม่รู้จัก มักจะมีคำสาปที่จะทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดของเราทำงานไม่ได้อยู่เสมอ ความรู้ของเราเป็นปลา แต่ที่ที่เราจะใช้มันกลับไม่มีน้ำ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจะเหลืออะไร?
นี่เป็นคำถามเดียวกับที่กล่าวถึงในบทสนทนาตอนต้นว่า ‘แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไร’ มันกลายเป็นคำถามที่ยากสำหรับนักศึกษาในชั้นเรียนที่ผมทำงานด้วย ยากสำหรับนักคิดมืออาชีพที่เรียกกันว่านักวิชาการ ไม่ใช่ว่ายากที่ใครสักคนจะมีความคิดเห็น แต่ยากเหลือเกินที่ใครสักคนจะคิดกับความคิดเห็นของตัวเองอย่างจริงจังเท่าๆ กับคิดกับความคิดเห็นของนักคิดชื่อดังในอดีต และบรรยายมันออกมาให้อาจารย์หรือสาธารณะฟัง ยากเช่นกันในข้อสอบ ยากเช่นกันในบทความตีพิมพ์ ในหัวของเราสามารถสลับโหมดมาเป็นโหมดอะไรบางอย่างที่มีเสียงนักคิดชื่อดังในอดีตดังกว่าเสียงของตัวเองได้เสมอเวลามีไมโครโฟนจ่ออยู่ที่ปาก
อ่านต่อ : https://blogazine.pub/blogs/storytellers/post/6331
___________________________________
1 แนวคิดหลังสมัยใหม่ที่ไม่ได้เชื่อว่าความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว คนเราต้องมีหนึ่งเพศ มีหนึ่งตัวตน มีหนึ่งเป้าหมาย มีหนึ่งชุดเหตุผลที่ถูกต้องที่สุด ไม่ได้เชื่อว่าควรจะมีความเชื่อหรือวาทกรรมเดียวยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นๆ โพสต์โมเดิร์นเชื่อในการมีอยู่ของความหลากหลายของเรื่องเล่าต่างๆ (narratives) ที่แต่ละพื้นที่และเวลามีไม่เหมือนกัน หากมีใครเสนอความจริงแบบหนึ่งออกมา คนที่คิดอะไรคล้ายๆ โพสต์โมเดิร์นอาจตอบกลับไปว่า ‘อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป’
2 แนวคิดก่อนสมัยใหม่ที่มีอำนาจเรียบง่ายเช่น ศาสนาหรือกษัตริย์ปกครองทั้งอารยธรรมและวิธีคิดแบบต่างๆยังไม่เกิดป็นระบบที่ชัดเจน เหตุผลที่มีรากฐานเป็นวิทยาศาสตร์หรือแนวคิดสิทธิที่เท่ากันของมนุษย์ ไม่มีความสำคัญเท่าพระเจ้าหรือกฎแห่งกรรมและบุญบารมี เข้าใจโดยรวบรัดที่สุดคือเป็นสังคมโบราณ
3 Jean-Jacques Rousseau
นักปรัชญาการเมืองคนหนึ่งที่ค่อนข้างถูกทำให้เป็นพื้นฐานเวลาที่เราจะศึกษาสังคมหรือการเมือง