สมัยที่ผู้เขียนเรียนมหาลัย มีอาจารย์ท่านหนึ่งในคณะเคยเสนอให้ผมลงไปออกแบบการเล่าเรื่องวิธีคิดในการสร้างสันติภาพแก่เด็กนักเรียนผ่านการ์ตูนเรื่องนารูโตะ ตอนนั้นผมยังเข้าใจว่า การ์ตูนเรื่องนารูโตะมันเน้นหนักไปทางปรัมปรา (Mythology) แบบญี่ปุ่น จนเมื่อไม่นานมานี้ ผมเริ่มเข้าใจว่าทำไมอาจารย์ท่านนั้นถึงสนใจการ์ตูนเรื่องนี้ในฐานะคำอธิบายเรื่องการมีชีวิตเพื่อสันติภาพได้ในอีกมุมมอง
ภาพของสังคมในการ์ตูนเรื่องนารูโตะ คือโครงสร้างทางสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยความมั่นคงแห่งแคว้นแต่ละแคว้นที่ชัดเจน ระบอบนินจา คือตัวแทนความคิดการขับเคลื่อนรัฐด้วยสงครามของการช่วงชิงข้อมูล ความลับ และทรัพยากรทางธรรมชาติ
สิ่งที่น่าสนใจคือความสัมพันธ์ของนารูโตะกับซาสึเกะ ความขัดแย้งเชิงปัจเจกระหว่างนารูโตะกับซาสึเกะคือภาพแทนที่ชัดเจนของการขัดแย้งเชิงความคิดระดับขบวน นารูโตะกับซาสึเกะมีสิ่งที่เหมือนกันคือพวกเขาถูกความขัดแย้งของความมั่นคงและสงครามแห่งรัฐพรากครอบครัวไปจากพวกเขา แต่หนทางของนารูโตะกับซาสึเกะกลับแตกต่างกัน นารูโตะมีชีวิตและเติบโตขึ้นในฐานะเด็กหลังห้องที่หวังจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจเพื่อเปลี่ยนแปลง ส่วนซาสึเกะมีชีวิตและเติบโตในฐานะสายเลือดอัจฉริยะที่มีความแค้นโดยหวังจะทำลายทุกสิ่งเพื่อเปลี่ยนแปลง
เราอาจเรียกความคิดแบบนารูโตะได้ว่าสายปฏิรูป (Reformism) และอาจเรียกความคิดแบบซาสึเกะได้ว่าสายปฏิวัติ (Revolutionism) ซึ่งในตอนท้ายของเรื่องนี้เอง ทั้งสองได้จบความขัดแย้งระหว่างกันด้วยศึกตัดสินที่กำหนดขอบเขตไว้แค่ปัญหาส่วนตัว ไม่ใช่ปัญหาส่วนรวม
ในสงครามหรือการต่อสู้ที่ปะปนด้วยความคิดเชิงอุดมการณ์ในฐานะสิ่งที่คอยถูกสมาทานเพื่อระบุแนวทางสำคัญของขบวนเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันอุดมการณ์ต่างๆเหล่านั้นก็ยังถูกนำไปยึดโยงกับใครต่อใครในเส้นทางของอุดมการณ์ จนเราเผลอคิดโดยมิได้ตระหนักว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินต่อไปข้างหน้าร่วมกัน
การจบความขัดแย้งระหว่างนารูโตะกับซาสึเกะด้วยการกำหนดปัญหาเชิงอุดมการณ์ให้ยุติแค่ "ปัญหาส่วนตัว" เป็นตัวอย่างที่สำคัญในการยุติเพื่อเข้าใจคำว่าทำไมต้องมี สายเหยี่ยว หรือสายพิราบ ว่าควรจะวางตัวอย่างไร ภายใต้เป้าหมายเดียวกันนั่นคือการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง