สมยศ พฤกษาเกษมสุข
เช้าตรู่ของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 กำลังทหาร ตำรวจ บุกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใช้อาวุธสงครามหนักนานาชนิดยิงถล่มนิสิตนักศึกษา ซึ่งชุมนุมกันดดยสงบล้มตายเป็นใบไม้ร่วม ผู้คนวิ่งหนีความตาย แต่ถูกกลุ่มอันธพาลการเมืองรุมทำร้ายทุบตี สังหารด้วยความโหนดเหี้ยม อำมหิต ผิดมนุษย์ด้วยการจับแขวนคอ เผาศพทั้งเป็น ข่มขืน ฆ่า ลิ่มตอกอกอย่างป่าเถื่อนทารุณ ด้วยความสะใจและกระหยิ่มยิ้มย่องของกลุ่มคนไทยที่คลั่งไคล้ในอุดมการณ์ ชาติ – ศาสนา – พระมหากษัตริย์
เหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 เป็นความต่อเนื่องมาจากการลุกขึ้นสู้ของประชาชนต่อต้านเผด็จการทหารเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ทั้งสองเหตุการณ์แยกไม่ออกจากเจตนารมณ์ของคณะราษฎร ซึ่งทำการปฏิวัติประชาธิปไตย เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
เจตนารมณ์ของคณะราษฎรระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยกำหนดให้อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย แต่ปรากฏว่าหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ไม่ได้มีการรื้อถอนโครงสร้างทางการเมืองแบบเก่าออกไป รัฐจารีตนิยมจึงฟื้นตัวขึ้นมามีอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองจนสามารถกำจัดคณะราษฎรจนหมดสิ้นไปจากสังคมไทย
80 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยจึงมีการรัฐประหาร 11 ครั้ง กบฏ 11 ครั้ง มีรัฐบาล 60 ชุด ได้นายกมาจากทหาร หรือได้รับการสนับสนุนจากทหารอยู่ในอำนาจเป็นเวลา 50 ปี และที่มาจากการเลือกตั้งอยู่ในอำนาจไม่ถึง 30 ปี ประเทศไทยจึงเป็นประชาธิปไตยกันแค่เปลือก หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นประชาธิปไตยใต้ส้นตีนที่ถูกควบคุมโดยรัฐจารีตนิยมในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
รัฐประหารโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ในปี 2500 นำพาประเทศไทยสู่แผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ จากอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้ามาสู่อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกภายใต้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ ด้วยการปราบปราม เข่นฆ่าประชาชนอย่างทารุณโหดร้าย ต่อเนื่องด้วยจอมพลถนอม – ประภาส – ณรงค์ สืบทอดเผด็จการทหารจนประชาชนคนไทยลุกขึ้นสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
หลัง 14 ตุลาคม 2516 นักศึกษา กรรมกร ชาวนา มีความตื่นตัวในสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค และประชาธิปไตย ความคิดลัทธิสังคมนิยมเป็นไปอย่างกว้างขวาง ในขณะที่กลุ่มอำนาจเก่านิยมเจ้า (ULTRA ROYALISTS) ได้แก่กลุ่มอำมาตย์ ข้าราชการ ทหาร ตุลาการ นักวิชาการ กลุ่มอันธพาลการเมือง หวาดกลัวการเปลี่ยนแปลง ได้ใช้ความรุนแรงลอบสังหารผู้นำนักศึกษา กรรมกร ชาวนา จนกระทั่งร่วมกันก่อการรัฐประหารหฤโหด 6 ตุลาคม 2519
การมีส่วนร่วมของประชาชน และการเคลื่อนไหวต่อสู้ของขบวนการนักศึกษา ประชาชนไปไกลเกินกว่าที่รัฐจารีตนิยมจะควบคุมได้อีกต่อไป ความหวั่นวิตกที่จะต้องสูญเสียความเป็นอภิสิทธิ์ชน และผลประโยชน์ของชนชั้นผู้กดขี่ ทำให้มีการวางแผนก่อการรัฐประหารเริ่มในวันที่ 19 กันยายน 2519 จอมพลถนอม เดินทางกลับมาบวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศ นักศึกษาออกมาชุมนุมต่อต้านการกลับมาของจอมพลถนอม ในขณะนั้น มรว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี ปล่อยให้ฝ่ายนิยมเจ้า ทั้งนักวิชาการ สื่อมวลชน นักการเมือง ปลุกระดมประชาชนด้วยอุดมการณ์ชาติ – ศาสนา – พระมหากษัตริย์ กล่าวหานักศึกษาเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ต้องการโค่นล้มกษัตริย์ หรือเป็นขบวนการล้มเจ้า ในที่สุดกำลังทหาร ตำรวจ กลุ่มอันธพาลการเมือง ลูกเสือชาวบ้านได้ร่วมกันสังหารโหดนิสิต นักศึกษา ประชาชน เสียชีวิตนับร้อยคนด้วยความป่าเถื่อน อำมหิต ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกลางท้องสนามหลวง
ในตอนเย็นวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ทหารก่อการรัฐประหาร หนึ่งในคณะรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 ที่ยังมีบทบาททางการเมือง การทหาร อยู่จนถึงทุกวันนี้ก็คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ทหารที่ก่อการรัฐประหารครั้งนี้ใช้ชื่อว่า คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน มีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศด้วยเผด็จการเต็มรูปแบบ จนนักศึกษา ประชาชนพากันหลบหนีในเขตป่าเขาร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ ต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ บาดเจ็บ ล้มตายจำนวนมาก จนต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรม หลังจากนี้การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธสิ้นสุดลงราวปี 2524
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 คือบาดแผลร้าวลึกในสังคมไทยไม่ใช่เพียงการสูญเสียชีวิตในแง่บุคคล และครอบครัวเท่านั้น หากเป็นการสูญเสียของสังคมครั้งยิ่งใหญ่ เหตุการณ์ครั้งนั้นฆาตรกรลอยนวล เป็นอาชญากรรมของรัฐที่ไม่มีการดำเนินคดี เอาผิด ไม่มีการเยียวยาใด ๆ ทั้งสิ้น กลายเป็นเหตุการณ์ดำมืด ซึ่งเต็มไปด้วยข้อสงสัย และคำถามมากมายว่าใคร หรือกลุ่มคนใดที่บงการวางแผน หรือสั่งการให้เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
หลังเหตุการณ์สยดสยอง 6 ตุลาคม 2519 มีการคาดหวังกันว่าจะไม่มีความรุนแรง ป่าเถื่อนทางการเมืองเกิดจึ้นอีก แต่แล้ว 23 กุมภาพันธ์ 2534 พลเอกสุจินดา คราประยูร ก่อการรัฐประหารขึ้นอีก จบลงด้วยเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 เช่นกัน ผู้ก่อการรัฐประหารและผู้สั่งการสังหารประชาชนทั้งหมดลอยนวล และยังคงดำรงตำแหน่งเกียรติยศเช่นเดิม ไม่มีใครต้องรับผิดชอบต่อโศกนาฎกรรมครั้งนี้ จนถึงขณะนี้ผู้เสียชีวิตยังไม่มีแม้แต่อนุสาวรีย์รำลึกถึง
แม้ว่าหลังเหตุการณ์นี้จะมีรัฐธรรมนูญ 2540 มีนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บริหารงานได้ 6 ปี แต่ก็ต้องถูกรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีส่วนที่เหมือนกับการรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 นั่นคือการปลุกระดมด้วยอุดมการณ์คลั่งเจ้าที่มีการผลิตซ้ำ (Roproduction) ในสังคมไทยด้วยการกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ว่ามีพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถึงขนาดให้ร้ายป้ายสีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นิยมการปกครองประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดีเหมือนอย่างสหรัฐอเมริกา
แม้ว่าหลังเหตุการณ์นี้จะมีรัฐธรรมนูญ 2540 มีนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บริหารงานได้ 6 ปี แต่ก็ต้องถูกรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีส่วนที่เหมือนกับการรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 นั่นคือการปลุกระดมด้วยอุดมการณ์คลั่งเจ้าที่มีการผลิตซ้ำ (Roproduction) ในสังคมไทยด้วยการกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ว่ามีพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถึงขนาดให้ร้ายป้ายสีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นิยมการปกครองประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดีเหมือนอย่างสหรัฐอเมริกา
ประชาชนคนไทยต่อต้านการรัฐประการ 19 กันยายน 2549 แม้ว่าจะมีรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากการรัฐประหาร แต่การเลือกตั้ง 2 ครั้งในปี 2550 และ 2554 พรรคไทยรักไทย ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคเพื่อไทย ก็ยังชนะการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา การต่อสู้ขับเคี่ยวของกลุ่มอำนาจเก่า และกลุ่มอำนาจใหม่ เป็นไปอย่างเข้มข้น สังคมไทยแตกแยกเป็น 2 กลุ่มสี ต่อสู้ห้ำหั่นกันถึงเลือดถึงเนื้อ จนรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ใช้แบบแผนเดียวกันกับการรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 ด้วยการใช้กำลังทหารปราบปรรม เข่นฆ่าประชาชน กล่าวหาว่าคนเสื้อแดงเป็นขบวนการล้มเข้า เข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมด้วยกระสุนสงครามถึง 98 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน
การรัฐประหาร 3 ครั้ง หลังสุดนี้มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างน้อยที่สุดมีการพัฒนาการจากการตั้งคำถาม และข้อสงสัยที่เคยถูกปิดหูปิดตามาช้านาน มาสู่การรับรู้ และความจริงที่ชัดเจน มองเห็นรากเหง้า สาเหตุความรุนแรง ป่าเถื่อนทางการเมืองที่ผ่านมานั้นมาจากกลุ่มคน หรือขบวนการเดียวกัน
การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้เปิดเผยโฉมหน้าทางการเมืองของกลุ่มอำมาตย์ – พวกคลั่งเจ้า – กลุ่มคนเสื้อเหลือง – หลากสี ซึ่งเป็นพลังล้าหลังทางการเมือง ฉุดรั้งความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทย ในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้ผ่านการต่อสู้ เรียกร้องประชาธิปไตย ขนเกิดปรากฎการณ์ตาสว่าง (Clear - Sighted) ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงกลายเป็นขบวนการต่อสู้ เพื่อสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และประชาธิปไตยที่มีคุณค่าความหมายมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยจาก 6 ตุลาคม 2519 ถึง 19 กันยายน 2549
ปรากฎการณ์ตาสว่างแห่งชาติ จะเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ประชาชนได้ใช้สติปัญญาที่ชึกซึ้ง มองทะลุเมฆหมอกบังตา ไปสู่การเข้าใจที่ทะลุปรุโปร่งในโครงสร้างการเมืองรัฐจารีตนิยม ซึ่งนับวันความคิด ความเชื่อ และความหลงใหลในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และความน่าเชื่อถือที่เคยมีกันมาได้ลดน้อยถอยลงอยู่ทุกวัน
ผู้ขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ต่อจากนี้ไปไม่ได้ผูกขาดไว้กับกลุ่มชนชั้นนำ และกลุ่มคนที่ซื่อสัตย์อย่างงมงายต่อโครงสร้างอำนาจเก่าอีกต่อไป ชนชั้นผู้ถูกกดขี่ และผู้อยู่ริมขอบแห่งศูนย์กลางอำนาจที่เคยซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบ บัดนี้ได้เคลื่อนตัวออกมาอย่างมีพลัง การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายทั้งปวงอยู่ในมือของพวกเขา และนี่คือภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
วันที่ 2 ตุลาคม 2555
ที่มาภาพ : Prainn Rakthai
บล็อกของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ พฤกษาเกษมสุข1 ธันวาคม 2556
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี ทั่วโลกกำหนดให้เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี แต่ปัญหาความรุนแรงต่อสตรียังทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในทุกมิติของสังคมไทย
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ พฤกษาเกษมสุข13 พฤศจิกายน 2556
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
แม้การนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งจะดูโง่เง่าสุดพระเดช พระคุณเพียงใด ผู้เขียนมองเห็นความฉลาดอย่างหนึ่งของ การกระทำอันอุกอาจในครั้งนี้ของนักการเมืองพรรคเพื่อไทย คือ ฉลาดที่จะลืมคราบเลือดและน้ำตาของประชาชน และเลือกที่จะตกลงผลประโยชน์ได้เสียกันกับฝ่ายอำมาตย์ทันที โดยไม่ต้องเสียแรงสู้ให้เหนื่อย ไม่ต้องเสี่ยงเสียเลือดเสียเนื้อ เสี่ยงติดคุกติดตะราง เหมือนประชาชนที่ร่วมต่อสู้กันมา นั้นเอง
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ พฤกษาเกษมสุข22 มิถุนายน 2556