Skip to main content

สงครามตามชายแดนไทย-พม่าริมแม่น้ำเมยได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ทางการพม่าออกมาปฏิเสธไม่มีส่วนกับสงครามที่เกิดขึ้นดังกล่าว โดยบอกว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างชนเผ่ากะเหรี่ยงด้วยกันเอง คือระหว่างกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) กับกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย (DKBA) ผลของการสู้รบทำให้ประชาชนชาวกะเหรี่ยงด้วยกันเองที่อยู่ในพื้นที่การสู้รบ ต้องหนีภัยจากการสู้รบ หลายชุมชนต้องฝ่าเสียงกระสุนปืน หลายชุมชนต้องฝ่าดงและเสียงระเบิด ในขณะที่เดินฝ่าความตายเพื่อหนีตายนั้น ต้องทำด้วยความเงียบ ความรวดเร็ว ต้องเก็บแม้กระทั่งเสียงร้องไห้
\\/--break--\>

โดยปกติคนกะเหรี่ยงเป็นชนเผ่าที่รักและชอบเสียงเพลง แต่ในสถานการณ์การหนีตายแบบนี้ บทเพลงและเสียงเพลงต้องหลบเพื่อรักษาชีวิตตนเองเช่นกัน ในช่วงเวลาการต่อสู้เพื่อกู้ชาติของคนกะเหรี่ยงกว่า 61 ปีที่ผ่านมา บทเพลงหลายสิบเพลงต้องจบชีวิตลงในสนามรบ

ผมมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนกะเหรี่ยงที่หลบภัยจากการสู้รบตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-พม่าฝั่งตะวันตกคนหนึ่งเกี่ยวกับบทเพลงในชุมชนปกาเกอะญอในพื้นที่การสู้รบ

มีบทเพลงบางเพลงที่เป็นเพลงต้องห้าม ซึ่งรัฐบาลทหารพม่าไม่อยากให้ร้อง” เขาบอกผม
เหรอ มันเป็นยังไง” ผมชักสงสัย

มันเป็นเพลงปฏิวัติ เป็นเพลงปลูกระดมคนชนเผ่าให้ฮึกเหิมในการต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ให้ต่อสู้เพื่อกู้ชาติ กู้แผ่นดิน และปลอดปล่อยชนเผ่าจากการจองจำทางการปกครองที่ไม่มีความเป็นธรรม” เขาอธิบาย

มันร้องไม่ได้เลยเหรอ” ผู้ฟังซักถาม
เมื่อก่อนร้องได้ถ้าเป็นพื้นที่ของเราเอง ร้องได้เต็มที่ ตะโกนออกไปจนเสียงเดินทางทะลุสี่ห้าดอยก็ยังได้ แต่ไปร้องในพื้นที่ที่มีทหารพม่าไม่ได้ แต่ตอนนี้ในพื้นที่ของเราเองเราก็ร้องไม่ได้เพราะพวกทหารพม่าเข้ามาใกล้และเข้ามาถึงรอบๆชุมชนเราแล้ว อาจจะร้องได้แต่ต้องสำรวจดูรอบๆตัวก่อนว่ามีใครอยู่บ้าง หรืออาจต้องร้องเบาๆ (หัวเราะ)”

รัฐบาลทหารพม่ามองว่าบทเพลงปฏิวัติเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการปลูกระดมให้ชนกลุ่มน้อยต่างๆลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล ทำให้นักเพลงปฏิวัติหลายท่านต้องถูกจองจำในคุก หลายท่านต้องฆ่า หลายคนต้องหนีหัวซุกหัวซุนจากข้อหาการร้องเพลงปฏิวัติหรือเพลงปลูกใจเพื่อการสู้รบปลอดปล่อยชนเผ่า

นักเพลงปฏิวัติของคนกะเหรี่ยงที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการตัวของรัฐบาลพม่ามากที่สุดในช่วงสามสี่ทศวรรษที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้น “ฉ่า เก โดะ” เคยต้องหนีจากย่างกุ้งมาถึงชายแดนไทยเพราะเหตุนี้ ทำให้เขาตัดสินใจจับปืนเป็นนักปฏิวัติเต็มตัวในเวลาต่อมา จนปัจจุบันนี้เขาต้องหนีไปไกลถึงประเทศที่สามในอเมริกา แต่บทเพลงของเขายังคงมีพลังเพียงพอที่จะทำให้รัฐบาลเผด็จการทหารพม่ากลัวจนไม่อยากให้ประชาชนกะเหรี่ยงขับร้อง หรือรับฟังบทเพลงของเขา

หมู่บ้านกลาป่าลึก ในเขตรัฐกะเหรี่ยงตอนเหนือ รวงข้าวในทุ่งไร่เริ่มเหลือง หอมกลิ่นของเม็ดข้าวชักชวนฝูงนกป่ามาเชยชิมรสชาติข้าวพันธุ์พื้นบ้าน จนชาวบ้านต้องคอยไล่ มิฉะนั้นข้าวอาจเหลือเพียงรวงไร้เม็ด ในขณะเดียวกันกลิ่นรวงข้าวก็ได้ชักชวนกองกำลังทหารพม่าเข้าสู่ทุ่งไร่เกือบทุกปี บางปีมาช้าหน่อยชุมชนจึงได้เก็บเกี่ยว บางปีมาเร็วทุ่งไร่ข้าวจึงถูกยึดเอาเป็นฐานทัพชั่วคราว ช่วงหลังๆ มาอยู่ยาวจนต้องเสียพื้นที่ไร่ไปหลายแห่ง

เด็กชายผู้ไร้เดียงสา ยังไม่รู้จักทิศเหนือทิศใต้ ยังไม่รู้จักตะวันตกตะวันออก ยังไม่รู้จักเดือนมืดเดือนแจ้ง รู้แต่เพียงการลงไปเล่นน้ำจับปลา ที่ริมห้วยท้ายหมู่บ้าน เกือบทุกเช้าทุกเย็นคนในชุมชนจะได้ยินเสียงเพลงของเขา เสียงเพลงเดินทางคู่กับเขาตลอด

เย็นวันนั้นเสียงเพลงของเขาดังล่องลงไปท้ายหมู่บ้านเช่นเดิม พร้อมไซซึ่งเป็นอุปกรณ์จับปลาของเขา เขาตั้งใจจะไปวางไซเพื่อดักปลาห่างออกไปจากชุมชนห้าโค้งน้ำ เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นที่มีปลาชุม เหมาะแก่การวางไซ เพราะพื้นที่รัศมีภายในสี่โค้งน้ำจากหมู่บ้านนั้น เขาวางไซจนเขารู้ทะลุปรุโปร่งและขณะเดียวกันหมู่ปลาเองก็เริ่มรู้ทางหนีทีไล่ที่จะเอาตัวรอดจากไซของเขา แต่โค้งน้ำที่ห้านั้นติดอยู่ตรงที่มันไกลจากชุมชนหน่อย แต่เขาก็พร้อมที่จะลงทุน


 


 

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
รุ่งเช้าวันที่ 10 กันยาฯ ทีมทั้งหมดเริ่มซ้อมเพื่อทบทวนกระบวนท่าฟ้อน ท่ารำ ท่วงท่าทำนอง จังหวะจะโคน ก่อนตระเวนออกศึก การซ้อมเริ่มต้นด้วยเพลงในอัลบั้มหิมพานต์ 2nd World ของพี่ทอด์ด ทองดี ต่อด้วยเพลงของ ซอ สมาชิกวง the sis ตามด้วยเพลงของลานนา คัมมินส์ รวมทั้งเพลงของมือระนาดและมือโปงลาง หมอแคน จนมาปิดท้ายที่เพลงของผม
ชิ สุวิชาน
บรรยากาศจากเทือกเขาสแครนตัน   หลังจากที่นักดนตรี นักร้อง นักรำมาถึงกันครบองค์ทั้งหมดแล้ว จึงเริ่มมีการแกะกล่องสัมภาระที่ขนเครื่องดนตรีและเครื่องไม้เครื่องมือประกอบการแสดงที่มาจากเมืองไทย ผมเริ่มแกะพลาสติกกันกระแทกที่ห่อเตหน่ากูไว้ เตหน่ากูได้โผล่ออกมารับแสงรับลมอีกครั้ง
ชิ สุวิชาน
รุ่งเช้าตื่นมา อากาศเย็นค่อนไปถึงหนาว ในขณะที่คณะที่มาด้วยกันยังนอนหลบกันอย่างเมามันจากอาการเพลียเพราะการเดินทาง ผมเดินลงไปในห้องครัวเผื่อเจออะไรที่ทานได้บ้าง หน้าห้องครัวเจ้าของบ้านได้ติดรูปคนในครอบครัว รูปลูกชายสองคน ที่ผมแปลกใจคือมีรูปหนึ่งที่ไม่ใช่รูปของผู้ชาย เป็นรูปคล้ายนางฟ้ามีข้อความเขียนว่า “Bless this home”  ทำให้นึกถึงบ้านคนไทยที่มีการเขียนหน้าบ้านต่างๆหลายอย่างเช่น “มั่งมีศรีสุข” บ้าง “บ้านนี้อยู่แล้วรวย” บ้าง
ชิ สุวิชาน
การรอคอยที่ไทเปสิ้นสุดลง เมื่อประตูสู่นิวยอร์กได้เปิดออกให้ผู้โดยสารเดินเข้าไปในเครื่องบิน ระยะทางกว่าสิบสี่ชั่วโมง ผมอยู่กับเพลง World Music ซึ่งเป็นเมนูที่มีให้เลือกจากสายการบิน บางเพลงมีเสียงระนาด ขลุ่ย และมีจังหวะหมอลำปะปนด้วยได้กลิ่นไอดนตรีไทยเป็นอย่างสูง ผมจึงยกหูฟังให้พี่สานุ นักดนตรีและโปรดิวเซอร์จากกรุงเทพฟัง เขาฟันธงเลยว่าเสียงทั้งหมดเป็นการ Samp มาทั้งนั้น ไม่ใช่เสียงจริงดั้งเดิมที่คนเล่นมา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการฆ่าความน่าเบื่อของการอยู่บนเครื่องเป็นเวลานานได้เป็นอย่างดี  
ชิ สุวิชาน
ก่อนเดินทางมีการแถลงข่าวที่กรุงเทพ มีผู้สนับสนุนทั้งกระทรวงการต่างประเทศและบริษัทบุญรอดฯมาร่วม หลังงานแถลงข่าวมีการสัมภาษณ์จากสื่อมวลชนที่มาในงาน
ชิ สุวิชาน
ความจริงแล้วผมมีกำหนดการนัดสัมภาษณ์ขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปประเทศอเมริกาในวันที่ 2 กันยายน 2552 ขณะที่กำหนดการในการเดินทางไปประเทศดังกล่าวคือเช้าวันที่ 3 กันยายน 2552 หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ แผนกำหนดการเดินทางอาจมีปัญหาได้ ฉะนั้นทางบริษัท ลาเวลล์ เอนเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งเป็นผู้ประสานและเป็นผู้อำนวยการการเดินทางในครั้งนี้ ได้ขอทำเรื่องเร่งรัดการสัมภาษณ์ให้เกิดขึ้นก่อนการสัมภาษณ์เดิม
ชิ สุวิชาน
  บรรยากาศงานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย คำรบที่สาม เป็นไปอย่างเรียบง่ายเล็กๆ กะทัดรัด ตามประเด็นหัวข้อที่นำเอาเรื่องของ "การจัดการทรัพยากรบนพื้นที่สูงในรูปแบบโฉนดชุมชน" ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้อาวุโสชนเผ่าทางภาคเหนือต่างมากันอย่างครบครันเช่นเดิม
ชิ สุวิชาน
เขาเดินลงไปท้ายหมู่บ้าน พร้อมกับบทเพลง" อย่าให้น้ำตาไหลริน"ของ ฉ่า เก โดะ ที  แม่จ๋า อย่าปล่อยให้น้ำตาได้มีโอกาสไหล            บัดนี้อายุลูกครบ สิบหกบริบูรณ์แล้วดั่งกฎของชายชาติทหารทุกประทศมี                  ลูกต้องทำหน้าที่เพื่อการปฏิวัติพ่อได้สละชีพจนแม่เลี้ยงลูกอย่างกำพร้า             อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่ลำเค็ญ แม่ทนถึงคราวลูกชายคนโตต้องไปทำหน้าที่ต่อ     …
ชิ สุวิชาน
สงครามตามชายแดนไทย-พม่าริมแม่น้ำเมยได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ทางการพม่าออกมาปฏิเสธไม่มีส่วนกับสงครามที่เกิดขึ้นดังกล่าว โดยบอกว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างชนเผ่ากะเหรี่ยงด้วยกันเอง คือระหว่างกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) กับกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย (DKBA) ผลของการสู้รบทำให้ประชาชนชาวกะเหรี่ยงด้วยกันเองที่อยู่ในพื้นที่การสู้รบ ต้องหนีภัยจากการสู้รบ หลายชุมชนต้องฝ่าเสียงกระสุนปืน หลายชุมชนต้องฝ่าดงและเสียงระเบิด ในขณะที่เดินฝ่าความตายเพื่อหนีตายนั้น ต้องทำด้วยความเงียบ ความรวดเร็ว ต้องเก็บแม้กระทั่งเสียงร้องไห้
ชิ สุวิชาน
เพลงต่อเพลง ถูกเล่น ถูกร้อง ถูกเล่า ถูกถ่ายทอดออกมาล้วนมีที่มาที่ไปไม่แตกต่างจากเจตนารมณ์ของพ้อเหล่ป่าที่ทำตอนที่ยังชีวิตอยู่ เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง อาจารย์ลีซะกับพี่นนท์ก็โยนเวทีมาให้ผม ขณะที่ผมกำลังอยู่ในอาการสับสนเพราะไม่รู้จะเล่นเพลงอะไรดี สิ่งที่เตรียมเล่นเตรียมพูดในขณะที่เดินทาง เล่นไม่ได้พูดไม่ได้ มันเป็นประเด็นเปราะบางสำหรับพื้นที่นี้ งานนี้อีกครั้งหนึ่ง!
ชิ สุวิชาน
จังหวะที่ผมลุกขึ้นและตามเจ้าของบ้านเพื่อไปกินข้าว สายตาผมแวบไปมองเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งเหมือนคุ้นเคยกันมานาน ทั้งที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาก็จ้องหน้าผมเหมือนรู้จักมักคุ้นกับผมเป็นอย่างดี  "โพโดะ (หลาน) คืนนี้มีการขับธาไหม?" เขาถามผมเหมือนรู้ว่าใจผมต้องการอะไร แต่สีหน้าเขาเหมือนแสดงอาการไม่มั่นใจในบางอย่างออกมา"โอ้โห ต้องมีซิ" ผมตอบโดยไม่ต้องเดาว่าเขาคือโมะโชะคนหนึ่งแน่นอน
ชิ สุวิชาน
ทุกครั้งที่เดินทางผ่านหมู่บ้านแม่แฮใต้ ตำบลปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม ไม่มีครั้งไหนที่เลยผ่านร้านขายของชำเล็กๆริมทาง ที่มีผู้เฒ่าปากแดงด้วยน้ำหมากนั่งเฝ้าอยู่ มีของที่จำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตคนภูขายซึ่งมักเป็นอาหารแห้ง ขนมขบเคี้ยวและยารักษาโรคเบื้องต้น  แต่ร้านขายของชำเล็กๆ ถึงเล็กมากแห่งนี้มีมากกว่านั้น มีเรื่องเล่าให้หัวเราะ ให้อมยิ้ม ให้ขบคิด และมีบทธาให้เก็บเกี่ยวมากมาย