Skip to main content

ออกจากพิพิธภัณฑ์ Alamo เราออกเดินทางต่อไปยัง Austin ระหว่างทางแวะทานข้าวที่ร้านอาหารไทย ผมไม่ทิ้งโอกาสที่จะถามหาคนในเผ่าพันธุ์ของผม

\\/--break--\>

ยู เป็น Karen เหรอ ที่ร้านเรามีคนครัวคนหนึ่งเป็น Karen มาจากพม่า ไม่รู้ว่าเป็นพวกเดียวกับ ยู หรือเปล่า พูดภาษากันรู้เรื่องหรือเปล่า?” เจ้าของร้านบอกผม
น่าจะรู้เรื่องครับ ผมขอคุยกับเขาหน่อยได้ไหมครับ?” ผมขอเจ้าของร้านด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้น
ได้ น้องๆ ไปเรียก มู ในห้องครัวหน่อย” เจ้าของร้านเรียกใช้เด็กเสริฟให้ไปเรียกคนครัวปกาเกอะญอ

 

ทันที่ที่เจอหน้าเขา ผมรู้ทันทีว่าเขาเป็นปกาเกอะญอแน่นอน นัยน์ตาของเขาก็เหมือนจะรู้ว่าผมเป็นคนปกาเกอะญอเช่นกัน เขาเดินส่งยิ้มให้ผมมาแต่ไกล

 

โอะ มึ โช เปอ” เขายื่นมือมาทักทายผม เขามาอยู่ได้เพียง 4 เดือนเลยยังไม่มีเครือข่ายกับคนปกาเกอะญอที่มาก่อนหน้า ทั้งที่อยู่ในรัฐเดียวกันและเมืองอื่นๆ เขามาจากศูนย์อพยพแม่หละ นับเป็นการเจอคนปกาเกอะญอคนแรกของผมในอเมริกา ก่อนเขาจะขอตัวกลับเข้าครัวเพื่อทำงานต่อ เนื่องจากเขาสังเกตถึงสายตาของเจ้าของร้านที่มองมาทางเราถี่ขึ้น อาจเป็นเพราะเราใช้เวลาในการคุยกันนานจนเสียเวลาทำมาหากินของเจ้าของร้าน

 

บ่ายสามกว่าๆ เราเข้าไปที่ร้าน Ruta Maya ซึ่งเป็นร้านเวิลด์มิวสิคที่เน้นคนที่มีบทเพลงและแนวเพลงที่แตกต่างจากคนอื่นมาแสดงในร้าน วันนี้ได้ข่าวว่า จะมีวงจากศรีลังกามาด้วย ในร้านตกแต่งโปสเตอร์งานต่างๆ ที่มีคนมาเล่นในร้าน ซึ่งล้วนแล้วแต่มาจากหลายที่หลากสีสัน ผมมองดูรอบๆ ร้านพร้อมกับติดตั้งโกละ และเครื่องเสียงของวง

 

ทุ่มเศษๆ คอนเสิร์ตเริ่มขึ้น พี่ทอด์ดขึ้นไปแนะนำตนเองและคณะที่มาจากประเทศไทย จากนั้นชวนทุกท่านเดินทางไปทางเหนือของประเทศไทย เดินทางต่อจากเชียงใหม่ขึ้นภูเขามุ่งสู่หมู่บ้านปกาเกอะญอ เตหน่ากูทำหน้าที่ในการบอกเล่าเรื่องราวของตนเองและคนชนเผ่าในประเทศไทย 4 เพลงจากนั้นลูกสาวแม่น้ำปิง ลานนา ขึ้นมาสมทบอีก 3 บทเพลง แล้วเราจึงพากันล่องใต้กับ ซอ เดอะซิส ที่แยกหาดใหญ่ แยกแห่งวัฒนธรรมและดนตรีที่หลากหลาย ก่อนที่จะมุ่งสู่แดนอีสานจนถึงแม่น้ำโขง

 

พี่น้องจากศรีลังกามาเคาะประตู เพื่อร่วมเข้ามาในสวนแห่งสีสันดนตรี เสียงร้องที่ทรงพลังของเขาทำให้ทุกหูในร้านปิดรับฟังเสียงอื่นและเปิดพื้นที่ให้คลื่นเสียงของเขาเข้าไปแบบเต็มๆ ก่อนที่เขาจะถูกชวนไปสัมผัสบรรยากาศคลื่นเสียงหมอลำของแม่น้ำโขง และสุดท้ายเรากลับมารวมกันด้วยท่วงทำนองร้องบรรเลงของอัฟริกัน

 

ผมลงจากเวที ผมแปลกใจมากที่ โจ วิศวกรผู้ออกแบบการวางระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เดินมาหาผม เขาบอกผมเพียงสั้นๆ

ผมมาตามเสียงเพลงและเสียงดนตรีของคุณ” เขาจับมือผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนเขาจะบอกว่าพรุ่งนี้เขาต้องบินกลับไปทำงานแต่เช้า ผมพูดอะไรไม่ออก

 

หลังจากนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาคุยกับผม

ฉันไม่รู้จัก ปกาเกอะญอ ไม่รู้จัก คาเรน ฉันรู้จักแต่อองซาน ซู ยี” เขาบอกพร้อมกับคุยถึงความเห็นของเขาที่เห็นใจพลเมืองชาวพม่า และเขาปรารถนาที่จะเห็นประชาธิปไตยเกิดขึ้นที่ประเทศพม่า ก่อนเขาจะไปหยิบซีดีของผม แล้วชูขึ้นมาให้ผมเห็น

ฉันซื้อของคุณแล้วนะ” ผมยิ้มตอบเขา ก่อนเขาจะออกจากร้าน แล้วพวกเราก็เก็บของกันเพื่อเคลื่อนย้ายต่อ

 

คืนนี้ไปนอนกันที่บ้านคนไทย พวกเรามีกัน 20 กว่าคน แม้บ้านจะหลังใหญ่มีหลายห้อง แต่ก็ไม่สามารถมีพื้นที่นอนสำหรับรองรับเราได้ทั้งหมด เป็นหน้าที่ของผู้ชายที่ต้องจำลองพื้นที่ว่างที่มีอยู่เป็นห้องนอนชั่วคราว

 

น้องๆ นักเต้น 4 คนใช้ตู้เก็บรองเท้าเป็นที่นอน ไทด์มือเบสชาวฮอลแลนด์ใช้ตู้เสื้อผ้าเป็นที่นอน เจ้าของบ้านและพี่ทอด์ดใช้โซฟา เป็นเตียงนอน ผมและภรรยาใช้พื้นที่ใต้โต๊ะคอมพิวเตอร์เป็นที่นอน ต้องช่วยกันประหยัดที่เนื่องจากมันมีจำกัด เราเลยนอนกอดกันแน่น แม้อากาศที่อเมริกาเริ่มหนาวแล้ว แต่การนอนใต้โต๊ะคอมฯ และกอดกันแน่นจนขยับลำบากแบบนั้น ทำให้รู้สึกร้อนขึ้นมาทันที แต่ด้วยความเพลียก็ไม่มีอะไรหยุดยั้งความง่วงได้

 

รุ่งเช้า กว่าที่ทุกคนจะอาบน้ำกันครบ เกือบเที่ยงแล้ว โปรแกรมที่เราต้องเล่นคือบ่ายสองถึงห้าโมงเย็น นักดนตรีจึงมุ่งหน้าสู่เวทีเพื่อติดตั้งเครื่องเสียงและลองเสียง เวทีเป็นสวนสาธารณะมีคนเดินผ่อนคลายในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

 

เมื่อลองเสียงเสร็จสรรพ ข้าวกล่องจากทีมงานจึงตามมา ฟัดข้าวกล่องเต็มอิ่มก่อนขึ้นเวที เช่นเคยเวทีถูกเปิดด้วยบทเพลงจากชนเผ่าแห่งขุนเขา

รอบนี้หลายเพลงหน่อยนะ เนื่องจากเราต้องเล่นตั้ง 3 ชั่วโมง” พี่ทอด์ดบอกผม


เตหน่ากูบรรเลงไปเพลงแล้วเพลงเล่า มีคนเดินไปเดินมาประปราย ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง บางคนจะฟังแต่ถูกลูกดึงแขนไปที่อื่นจึงจากไป อีกคนจะฟังแต่ถูกแดดไล่ จึงหนีไป หลายคนเดินผ่าน จบเพลงหนึ่งก็เดินต่อ มิใช่เพียงเตหน่ากูเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ช่วงของวงใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ จนคอนเสิร์ตเล่นไปเกือบ 2 ชั่วโมง พี่ทอด์ด จึงประกาศของพักการแสดงไว้ขณะหนึ่งก่อน แล้วจะกลับมารอบสอง

 

ช่วงระหว่างพัก ทั้งนักร้องนักดนตรีต่างเรียกอารมณ์ด้วยการซดเบียร์กันเป็นว่าเล่น

เดี๋ยว ชิ ขึ้นก่อนอีกซัก 3 เพลงนะ” พี่ทอด์ดบอกผม ผมจึงเปิดหัวรอบสองด้วยเพลง แบแล เนื่องจากมีจังหวะเร็วหน่อย ก่อนตามด้วยเพลงนก และเพลง ดูดูเล แต่บรรยากาศก็ไม่ต่างจากรอบแรก คอนเสิร์ตจบลงด้วยความเหนื่อยเนื่องจากต้องเข็นพลังในการแสดงมากกว่าทุกครั้ง

 

หลังจากจบการแสดงที่สวนสาธารณะ 5 โมง เรารีบเก็บของเพื่อไปเล่นต่ออีกที่ ณ ร้านอาหารไทยในเมืองเดียวกัน คนไทยเริ่มทยอยกันเข้ามา อาหารแบบบุฟเฟ่ต์ถูกตั้งไว้สำหรับลูกค้าและนักดนตรีในที่เดียวกัน หลังจากเสริมพลังด้วยอาหารไทยแล้ว เริ่มตั้งเครื่องเสียง เนื่องจากเป็นร้านอาหารไม่ใช่ผับ ไม่ใช่บาร์ จึงไม่มีเวที ทำให้ต้องจัดเครื่องเสียงชุดเล็ก กลองมีเพียงสแนร์ที่ถูกติดตั้ง ส่วนกระเดื่องใช้กลองยาวแทน แต่สำหรับเตหน่ากูไม่มีปัญหา

 

ปัญหามีเพียงจุดเดียวคือ เสียงเพลงและเสียงดนตรีมันเบากว่าเสียงคุยกันของคนในร้าน พี่ทอด์ดแนะนำ เตหน่ากูและที่มาของเขา แต่คนไทยในอเมริกาเหมือนรู้จักคนชนเผ่าเลย

แม้วใช่ไหม” คนหนึ่งถาม บางทีผมรู้สึกว่าคนในเมืองไทยเริ่มรู้ความเป็นคนชนเผ่ามากขึ้น ที่อเมริกาน่าจะเป็นแบบนั้น แต่มันคนละเรื่องเลย เขายังมองทุกคนเป็นแม้วหมด บางคนยังมองทุกชนเผ่าเป็นกะเหรี่ยงหมด รวมทั้งดนตรีชนเผ่าเองไม่สามารถแหวกเข้าไปหาพื้นที่ในอารมณ์เขาเท่าใดนัก

 

หลังจากที่ผมร่วมล่องใต้กับไปหาดใหญ่กับวงเดอะซิสแล้ว ผมจึงหลบไปนั่งพักหลังห้องเก็บของด้วยความเพลีย จนเผลอหลับไป ตื่นมาอีกที ตอนที่ ลานนา เปิดประตูเพื่อมาใส่เสื้อตัวใหม่

 

แอะ อ้ายชิ อู้งานก๋า ลบมาอยู่นี่ น้อ บ่ยอมขึ้นไปเล่นเพลงสุดท้ายตวยกั๋นน้อ” ลานนาหันมาแซวผม
ผม ฮู้สึก เพลีย เลยงิบ ลับไปเลย” ผมตอบลานนา
นาทั้งเพลีย ทั้งเมา ดื่มแล้วมันจ้วยกระตุ้นได้หน้อยนึ่ง แต่ซะกำก็จะง่วงขนาด แต่ก่ดี จะได้หลับแบบสนิท สลบสลายไปเลย” และก็จริงอย่างที่ลานนาบอก หลังจากเก็บของขึ้นรถ กลับมาที่นอนที่เดิม แม้จะนอนใต้โต๊ะคอมฯ นอนในตู้เก็บรองเท้า นอนในตู้เสื้อผ้า นอนบนโซฟาหรือใต้โชฟา กลับมาถึงไม่มีใครอาบน้ำ ทิ้งตัวทอดกาย ไม่เกินยี่สิบนาที ผมไม่รับรู้แล้วว่าอะไรเกิดขึ้นในบ้าน เสียงกรนไม่สามารถรบกวนผมได้

 


บรรเลงที่
Ruta Maya


 


ศิลปิน จากศรีลังกา
   

 


บนเวทีสวนสาธารณะ ในเมือง
Austin, Taxas

 

 

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
รุ่งเช้าวันที่ 10 กันยาฯ ทีมทั้งหมดเริ่มซ้อมเพื่อทบทวนกระบวนท่าฟ้อน ท่ารำ ท่วงท่าทำนอง จังหวะจะโคน ก่อนตระเวนออกศึก การซ้อมเริ่มต้นด้วยเพลงในอัลบั้มหิมพานต์ 2nd World ของพี่ทอด์ด ทองดี ต่อด้วยเพลงของ ซอ สมาชิกวง the sis ตามด้วยเพลงของลานนา คัมมินส์ รวมทั้งเพลงของมือระนาดและมือโปงลาง หมอแคน จนมาปิดท้ายที่เพลงของผม
ชิ สุวิชาน
บรรยากาศจากเทือกเขาสแครนตัน   หลังจากที่นักดนตรี นักร้อง นักรำมาถึงกันครบองค์ทั้งหมดแล้ว จึงเริ่มมีการแกะกล่องสัมภาระที่ขนเครื่องดนตรีและเครื่องไม้เครื่องมือประกอบการแสดงที่มาจากเมืองไทย ผมเริ่มแกะพลาสติกกันกระแทกที่ห่อเตหน่ากูไว้ เตหน่ากูได้โผล่ออกมารับแสงรับลมอีกครั้ง
ชิ สุวิชาน
รุ่งเช้าตื่นมา อากาศเย็นค่อนไปถึงหนาว ในขณะที่คณะที่มาด้วยกันยังนอนหลบกันอย่างเมามันจากอาการเพลียเพราะการเดินทาง ผมเดินลงไปในห้องครัวเผื่อเจออะไรที่ทานได้บ้าง หน้าห้องครัวเจ้าของบ้านได้ติดรูปคนในครอบครัว รูปลูกชายสองคน ที่ผมแปลกใจคือมีรูปหนึ่งที่ไม่ใช่รูปของผู้ชาย เป็นรูปคล้ายนางฟ้ามีข้อความเขียนว่า “Bless this home”  ทำให้นึกถึงบ้านคนไทยที่มีการเขียนหน้าบ้านต่างๆหลายอย่างเช่น “มั่งมีศรีสุข” บ้าง “บ้านนี้อยู่แล้วรวย” บ้าง
ชิ สุวิชาน
การรอคอยที่ไทเปสิ้นสุดลง เมื่อประตูสู่นิวยอร์กได้เปิดออกให้ผู้โดยสารเดินเข้าไปในเครื่องบิน ระยะทางกว่าสิบสี่ชั่วโมง ผมอยู่กับเพลง World Music ซึ่งเป็นเมนูที่มีให้เลือกจากสายการบิน บางเพลงมีเสียงระนาด ขลุ่ย และมีจังหวะหมอลำปะปนด้วยได้กลิ่นไอดนตรีไทยเป็นอย่างสูง ผมจึงยกหูฟังให้พี่สานุ นักดนตรีและโปรดิวเซอร์จากกรุงเทพฟัง เขาฟันธงเลยว่าเสียงทั้งหมดเป็นการ Samp มาทั้งนั้น ไม่ใช่เสียงจริงดั้งเดิมที่คนเล่นมา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการฆ่าความน่าเบื่อของการอยู่บนเครื่องเป็นเวลานานได้เป็นอย่างดี  
ชิ สุวิชาน
ก่อนเดินทางมีการแถลงข่าวที่กรุงเทพ มีผู้สนับสนุนทั้งกระทรวงการต่างประเทศและบริษัทบุญรอดฯมาร่วม หลังงานแถลงข่าวมีการสัมภาษณ์จากสื่อมวลชนที่มาในงาน
ชิ สุวิชาน
ความจริงแล้วผมมีกำหนดการนัดสัมภาษณ์ขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปประเทศอเมริกาในวันที่ 2 กันยายน 2552 ขณะที่กำหนดการในการเดินทางไปประเทศดังกล่าวคือเช้าวันที่ 3 กันยายน 2552 หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ แผนกำหนดการเดินทางอาจมีปัญหาได้ ฉะนั้นทางบริษัท ลาเวลล์ เอนเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งเป็นผู้ประสานและเป็นผู้อำนวยการการเดินทางในครั้งนี้ ได้ขอทำเรื่องเร่งรัดการสัมภาษณ์ให้เกิดขึ้นก่อนการสัมภาษณ์เดิม
ชิ สุวิชาน
  บรรยากาศงานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย คำรบที่สาม เป็นไปอย่างเรียบง่ายเล็กๆ กะทัดรัด ตามประเด็นหัวข้อที่นำเอาเรื่องของ "การจัดการทรัพยากรบนพื้นที่สูงในรูปแบบโฉนดชุมชน" ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้อาวุโสชนเผ่าทางภาคเหนือต่างมากันอย่างครบครันเช่นเดิม
ชิ สุวิชาน
เขาเดินลงไปท้ายหมู่บ้าน พร้อมกับบทเพลง" อย่าให้น้ำตาไหลริน"ของ ฉ่า เก โดะ ที  แม่จ๋า อย่าปล่อยให้น้ำตาได้มีโอกาสไหล            บัดนี้อายุลูกครบ สิบหกบริบูรณ์แล้วดั่งกฎของชายชาติทหารทุกประทศมี                  ลูกต้องทำหน้าที่เพื่อการปฏิวัติพ่อได้สละชีพจนแม่เลี้ยงลูกอย่างกำพร้า             อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่ลำเค็ญ แม่ทนถึงคราวลูกชายคนโตต้องไปทำหน้าที่ต่อ     …
ชิ สุวิชาน
สงครามตามชายแดนไทย-พม่าริมแม่น้ำเมยได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ทางการพม่าออกมาปฏิเสธไม่มีส่วนกับสงครามที่เกิดขึ้นดังกล่าว โดยบอกว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างชนเผ่ากะเหรี่ยงด้วยกันเอง คือระหว่างกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) กับกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย (DKBA) ผลของการสู้รบทำให้ประชาชนชาวกะเหรี่ยงด้วยกันเองที่อยู่ในพื้นที่การสู้รบ ต้องหนีภัยจากการสู้รบ หลายชุมชนต้องฝ่าเสียงกระสุนปืน หลายชุมชนต้องฝ่าดงและเสียงระเบิด ในขณะที่เดินฝ่าความตายเพื่อหนีตายนั้น ต้องทำด้วยความเงียบ ความรวดเร็ว ต้องเก็บแม้กระทั่งเสียงร้องไห้
ชิ สุวิชาน
เพลงต่อเพลง ถูกเล่น ถูกร้อง ถูกเล่า ถูกถ่ายทอดออกมาล้วนมีที่มาที่ไปไม่แตกต่างจากเจตนารมณ์ของพ้อเหล่ป่าที่ทำตอนที่ยังชีวิตอยู่ เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง อาจารย์ลีซะกับพี่นนท์ก็โยนเวทีมาให้ผม ขณะที่ผมกำลังอยู่ในอาการสับสนเพราะไม่รู้จะเล่นเพลงอะไรดี สิ่งที่เตรียมเล่นเตรียมพูดในขณะที่เดินทาง เล่นไม่ได้พูดไม่ได้ มันเป็นประเด็นเปราะบางสำหรับพื้นที่นี้ งานนี้อีกครั้งหนึ่ง!
ชิ สุวิชาน
จังหวะที่ผมลุกขึ้นและตามเจ้าของบ้านเพื่อไปกินข้าว สายตาผมแวบไปมองเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งเหมือนคุ้นเคยกันมานาน ทั้งที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาก็จ้องหน้าผมเหมือนรู้จักมักคุ้นกับผมเป็นอย่างดี  "โพโดะ (หลาน) คืนนี้มีการขับธาไหม?" เขาถามผมเหมือนรู้ว่าใจผมต้องการอะไร แต่สีหน้าเขาเหมือนแสดงอาการไม่มั่นใจในบางอย่างออกมา"โอ้โห ต้องมีซิ" ผมตอบโดยไม่ต้องเดาว่าเขาคือโมะโชะคนหนึ่งแน่นอน
ชิ สุวิชาน
ทุกครั้งที่เดินทางผ่านหมู่บ้านแม่แฮใต้ ตำบลปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม ไม่มีครั้งไหนที่เลยผ่านร้านขายของชำเล็กๆริมทาง ที่มีผู้เฒ่าปากแดงด้วยน้ำหมากนั่งเฝ้าอยู่ มีของที่จำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตคนภูขายซึ่งมักเป็นอาหารแห้ง ขนมขบเคี้ยวและยารักษาโรคเบื้องต้น  แต่ร้านขายของชำเล็กๆ ถึงเล็กมากแห่งนี้มีมากกว่านั้น มีเรื่องเล่าให้หัวเราะ ให้อมยิ้ม ให้ขบคิด และมีบทธาให้เก็บเกี่ยวมากมาย