Skip to main content

คืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่คนฟังเพลงเป็นคนไทย แต่ที่พิเศษกว่าที่อื่นเนื่องจากคนไทยเป็นคนจัดงานกันเอง เป็นการจัดงาน ”Thai Festival in Texas” ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีการจัดปีละครั้ง ทุกๆปีจะจัดในเดือนเมษายน แต่ปีนี้มาจัดกันในเดือนกันยายนเนื่องจากต้องการให้กิจการทัวร์ ของ Himmapan 2nd world เป็นจุดเด่นของงานในปีนี้ ภายในงานมีการขายอาหาร เสื้อผ้า ของไทย มีการจัดซุ้มนวดแผนไทยมาบริการ


บรรยากาศตอนนี้ดูไม่ต่างจากอยู่เมืองไทยเท่าไหร่  เพราะในงานมีคนไทยประมาณร้อยละ
98 ส่วนที่เหลือปะปนกันไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสามี ภรรยา หรือเพื่อนสนิทของคนไทยที่มาร่วมงาน

ระหว่างที่คนกำลังทยอยกันเข้ามาในห้องที่มีการจัดแสดงคอนเสิร์ต ผมสังเกตเห็นเสื้อปกาเกอะญอตัวหนึ่งเคลื่อนตัวท่ามกลางฝูงชนเข้ามาในงาน  ผมอดตื้นตันไม่ได้ที่เห็นปรากฏการณ์ดังกล่าว ผมเพ่งมองอย่างไม่ละสายตา  แม้คนใส่เสื้อปกาเกอะญอจะไม่ใช่คนปกาเกอะญอก็ตาม


ทันทีที่เห็นผมเสื้อปกาเกอะญอโบกมือและแหวกฝูงชนตรงมาที่ผม

ผมมาเป็นกำลังใจคุณ หลังจากที่คุณออกจากโรงเรียน ทางคณะครูมานั่งคุยกันถึงความเป็นไปได้ในโครงการแลกเปลี่ยนครูจากศูนย์ผู้ลี้ภัยจากการสู้รบที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย กับครูในโรงเรียนของเรา ที่ผ่านมาพวกเราคิดกันมาตลอดแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เราไม่รู้จะประสานงานไปที่ใคร เมื่อเราเจอคุณ ทำให้เราเริ่มมีความหวัง เราอาจต้องรบกวนช่วยประสานงานให้เรากับทางศูนย์ฯที่เมืองไทยหน่อย เรามีแผนที่จะไปเยี่ยมศูนย์ที่เมืองไทย อาจต้องรบกวนคุณช่วยพาไป ครูชาวสเปนที่สอนในโรงเรียนผู้อพยพมาประเทศที่สามบอกผม


มีผู้ปกครองเด็กปกาเกอะญอมอบเสื้อให้ผมตอนเปิดเทอม ผมไม่เคยใส่เลย ครั้งนี้มาฟังเพลงปกาเกอะญอก็เลยอยากใส่เสื้อปกาเกอะญอ เพื่อให้คุณรู้ว่ามาเป็นกำลังใจให้คุณโดยเฉพาะเขาพูดพร้อมกับหัวเราะและจับดูเสื้อของตนเอง

งานเริ่มด้วยเพลงชาติไทยต่อด้วยการแสดงเปิดของลูกหลานไทย  นอกจากการแสดงจากไทยแล้ว มีการแสดงกระทบไม่ไผ่จากมองโกเลีย  และมีการแสดงระบำฮาวายจากกลุ่มแม่บ้านเจ้าถิ่นด้วย จากนั้นได้เวลาเตหน่ากูทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวตนเองให้คนไทยฟังอีกครั้ง

คีย์บอร์ดของ พี่สานุ วรรณพร ทำหน้าที่เป็นเพื่อนของเตหน่ากูในการบรรเลงครั้งนี้ 4 เพลง  หลังจากนั้นเตหน่ากูได้ร่วมกับวงใหญ่บรรเลงต่อจากภาคเหนือ ขยับสู่แดนใต้ ย้อนมาที่ภาคกลาง และปิดท้ายที่แม่น้ำโขง แบบแม่โขงบลูส์

หลังจบคอนเสิร์ต บรรยากาศรีบเร่งมาเยือนอีกครั้ง นักดนตรี นักเต้นและทีมงานทุกคนต่างรู้หน้าที่ดี ทุกคนเก็บอาวุธของตนเองและส่วนประกอบขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อ  คืนนี้ไม่มีเวลาพักต้องเดินทางต่อเลย เป้าหมายอยู่ที่รัฐอีลีนอย เมืองชิคาโก ระยะกว่าพันไมล์ ใช้เวลาขับรถกว่า
20 โมง เวลาแสดงคือคืนพรุ่งนี้เวลาทุ่มตรง

เพื่อความปลอดภัยในการเตรียมตัวจึงมีการแบ่งคณะออกเป็น
2 ทีม ทีมแรกคือนักดนตรีสากลให้เดินทางโดยเครื่องบินเพื่อไปติดตั้งดนตรีและเครื่องเสียงก่อน ส่วนนักเต้นและนักดนตรีพื้นบ้านให้เดินทางโดยรถ และเนื่องจากระยะทางในการเดินทางยาวและรีบเร่ง ผมจึงถูกบังคับให้นอนก่อนในช่วงกลางคืน

คืนนี้คุณไม่มีสิทธิ์ทำอะไรนอกจากนอนและนอนเท่านั้น พรุ่งนี้เก้าโมงคุณเปลี่ยนหน้าที่เป็นคนขับและผมจะทำหน้าที่นอนแทนคุณพรุ่งนี้” พี่ทอด์ดบอกผมพร้อมกับให้ทีมงานเตรียมที่นอนบนม้านั่งยาวในรถตู้

ก่อนออกมีคนไทยวัยดึกคนหนึ่งเดินมาหา

คืนนี้ไปนอนบ้านผม ไม่ต้องไปนอนที่อื่น เขาบอกผม
ไม่ได้ครับคืนนี้เดินทางไปชิคาโกเลยครับ ผมปฏิเสธคำชวนอย่างรู้สึกเกรงใจ
นั่งเครื่องไปพรุ่งนี้ก็ได้ ประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ผมอยากให้ไปนอนที่บ้านเพราะเมื่อก่อนผมเคยไปเป็นครูที่หมู่บ้านปกาเกอะญอที่อำเภอแม่แจ่ม เขาพูดจบพร้อมกับเอ่ยชื่อคนปกาเกอะญอที่เขารู้จัก รวมไปถึงพ่อของผมด้วย และเขายังพูดภาษาปกาเกอะญอได้อีกหลายประโยค

ขอบคุณมากครับ แต่ผมต้องช่วยพี่ทอด์ดขับรถครับ จึงต้องเดินทางไปพร้อมกัน ผมปฏิเสธเขาอีกครั้งด้วยความที่ต่างคนต่างเสียดาย อยากสานสัมพันธ์ต่อให้ยาวกว่านั้น แต่ต้องเก็บพับโอกาสนั้นไว้เพื่อเดินทางต่อยังจุดหมายที่ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าให้แล้ว



เสื้อปกาเกอะญอแทรกตัวท่ามกลางฝูงชน

 


คนใส่ไม่ใช่คนปกาเกอะญอ

 


รำกระทบไม้ไผ่จากมองโกเลีย

 

 


ระบำฮาวาย

บล็อกของ ชิ สุวิชาน

ชิ สุวิชาน
รุ่งเช้าวันที่ 10 กันยาฯ ทีมทั้งหมดเริ่มซ้อมเพื่อทบทวนกระบวนท่าฟ้อน ท่ารำ ท่วงท่าทำนอง จังหวะจะโคน ก่อนตระเวนออกศึก การซ้อมเริ่มต้นด้วยเพลงในอัลบั้มหิมพานต์ 2nd World ของพี่ทอด์ด ทองดี ต่อด้วยเพลงของ ซอ สมาชิกวง the sis ตามด้วยเพลงของลานนา คัมมินส์ รวมทั้งเพลงของมือระนาดและมือโปงลาง หมอแคน จนมาปิดท้ายที่เพลงของผม
ชิ สุวิชาน
บรรยากาศจากเทือกเขาสแครนตัน   หลังจากที่นักดนตรี นักร้อง นักรำมาถึงกันครบองค์ทั้งหมดแล้ว จึงเริ่มมีการแกะกล่องสัมภาระที่ขนเครื่องดนตรีและเครื่องไม้เครื่องมือประกอบการแสดงที่มาจากเมืองไทย ผมเริ่มแกะพลาสติกกันกระแทกที่ห่อเตหน่ากูไว้ เตหน่ากูได้โผล่ออกมารับแสงรับลมอีกครั้ง
ชิ สุวิชาน
รุ่งเช้าตื่นมา อากาศเย็นค่อนไปถึงหนาว ในขณะที่คณะที่มาด้วยกันยังนอนหลบกันอย่างเมามันจากอาการเพลียเพราะการเดินทาง ผมเดินลงไปในห้องครัวเผื่อเจออะไรที่ทานได้บ้าง หน้าห้องครัวเจ้าของบ้านได้ติดรูปคนในครอบครัว รูปลูกชายสองคน ที่ผมแปลกใจคือมีรูปหนึ่งที่ไม่ใช่รูปของผู้ชาย เป็นรูปคล้ายนางฟ้ามีข้อความเขียนว่า “Bless this home”  ทำให้นึกถึงบ้านคนไทยที่มีการเขียนหน้าบ้านต่างๆหลายอย่างเช่น “มั่งมีศรีสุข” บ้าง “บ้านนี้อยู่แล้วรวย” บ้าง
ชิ สุวิชาน
การรอคอยที่ไทเปสิ้นสุดลง เมื่อประตูสู่นิวยอร์กได้เปิดออกให้ผู้โดยสารเดินเข้าไปในเครื่องบิน ระยะทางกว่าสิบสี่ชั่วโมง ผมอยู่กับเพลง World Music ซึ่งเป็นเมนูที่มีให้เลือกจากสายการบิน บางเพลงมีเสียงระนาด ขลุ่ย และมีจังหวะหมอลำปะปนด้วยได้กลิ่นไอดนตรีไทยเป็นอย่างสูง ผมจึงยกหูฟังให้พี่สานุ นักดนตรีและโปรดิวเซอร์จากกรุงเทพฟัง เขาฟันธงเลยว่าเสียงทั้งหมดเป็นการ Samp มาทั้งนั้น ไม่ใช่เสียงจริงดั้งเดิมที่คนเล่นมา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการฆ่าความน่าเบื่อของการอยู่บนเครื่องเป็นเวลานานได้เป็นอย่างดี  
ชิ สุวิชาน
ก่อนเดินทางมีการแถลงข่าวที่กรุงเทพ มีผู้สนับสนุนทั้งกระทรวงการต่างประเทศและบริษัทบุญรอดฯมาร่วม หลังงานแถลงข่าวมีการสัมภาษณ์จากสื่อมวลชนที่มาในงาน
ชิ สุวิชาน
ความจริงแล้วผมมีกำหนดการนัดสัมภาษณ์ขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปประเทศอเมริกาในวันที่ 2 กันยายน 2552 ขณะที่กำหนดการในการเดินทางไปประเทศดังกล่าวคือเช้าวันที่ 3 กันยายน 2552 หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ แผนกำหนดการเดินทางอาจมีปัญหาได้ ฉะนั้นทางบริษัท ลาเวลล์ เอนเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งเป็นผู้ประสานและเป็นผู้อำนวยการการเดินทางในครั้งนี้ ได้ขอทำเรื่องเร่งรัดการสัมภาษณ์ให้เกิดขึ้นก่อนการสัมภาษณ์เดิม
ชิ สุวิชาน
  บรรยากาศงานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย คำรบที่สาม เป็นไปอย่างเรียบง่ายเล็กๆ กะทัดรัด ตามประเด็นหัวข้อที่นำเอาเรื่องของ "การจัดการทรัพยากรบนพื้นที่สูงในรูปแบบโฉนดชุมชน" ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้อาวุโสชนเผ่าทางภาคเหนือต่างมากันอย่างครบครันเช่นเดิม
ชิ สุวิชาน
เขาเดินลงไปท้ายหมู่บ้าน พร้อมกับบทเพลง" อย่าให้น้ำตาไหลริน"ของ ฉ่า เก โดะ ที  แม่จ๋า อย่าปล่อยให้น้ำตาได้มีโอกาสไหล            บัดนี้อายุลูกครบ สิบหกบริบูรณ์แล้วดั่งกฎของชายชาติทหารทุกประทศมี                  ลูกต้องทำหน้าที่เพื่อการปฏิวัติพ่อได้สละชีพจนแม่เลี้ยงลูกอย่างกำพร้า             อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่ลำเค็ญ แม่ทนถึงคราวลูกชายคนโตต้องไปทำหน้าที่ต่อ     …
ชิ สุวิชาน
สงครามตามชายแดนไทย-พม่าริมแม่น้ำเมยได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ทางการพม่าออกมาปฏิเสธไม่มีส่วนกับสงครามที่เกิดขึ้นดังกล่าว โดยบอกว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างชนเผ่ากะเหรี่ยงด้วยกันเอง คือระหว่างกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) กับกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย (DKBA) ผลของการสู้รบทำให้ประชาชนชาวกะเหรี่ยงด้วยกันเองที่อยู่ในพื้นที่การสู้รบ ต้องหนีภัยจากการสู้รบ หลายชุมชนต้องฝ่าเสียงกระสุนปืน หลายชุมชนต้องฝ่าดงและเสียงระเบิด ในขณะที่เดินฝ่าความตายเพื่อหนีตายนั้น ต้องทำด้วยความเงียบ ความรวดเร็ว ต้องเก็บแม้กระทั่งเสียงร้องไห้
ชิ สุวิชาน
เพลงต่อเพลง ถูกเล่น ถูกร้อง ถูกเล่า ถูกถ่ายทอดออกมาล้วนมีที่มาที่ไปไม่แตกต่างจากเจตนารมณ์ของพ้อเหล่ป่าที่ทำตอนที่ยังชีวิตอยู่ เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง อาจารย์ลีซะกับพี่นนท์ก็โยนเวทีมาให้ผม ขณะที่ผมกำลังอยู่ในอาการสับสนเพราะไม่รู้จะเล่นเพลงอะไรดี สิ่งที่เตรียมเล่นเตรียมพูดในขณะที่เดินทาง เล่นไม่ได้พูดไม่ได้ มันเป็นประเด็นเปราะบางสำหรับพื้นที่นี้ งานนี้อีกครั้งหนึ่ง!
ชิ สุวิชาน
จังหวะที่ผมลุกขึ้นและตามเจ้าของบ้านเพื่อไปกินข้าว สายตาผมแวบไปมองเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งเหมือนคุ้นเคยกันมานาน ทั้งที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาก็จ้องหน้าผมเหมือนรู้จักมักคุ้นกับผมเป็นอย่างดี  "โพโดะ (หลาน) คืนนี้มีการขับธาไหม?" เขาถามผมเหมือนรู้ว่าใจผมต้องการอะไร แต่สีหน้าเขาเหมือนแสดงอาการไม่มั่นใจในบางอย่างออกมา"โอ้โห ต้องมีซิ" ผมตอบโดยไม่ต้องเดาว่าเขาคือโมะโชะคนหนึ่งแน่นอน
ชิ สุวิชาน
ทุกครั้งที่เดินทางผ่านหมู่บ้านแม่แฮใต้ ตำบลปางหินฝน อำเภอแม่แจ่ม ไม่มีครั้งไหนที่เลยผ่านร้านขายของชำเล็กๆริมทาง ที่มีผู้เฒ่าปากแดงด้วยน้ำหมากนั่งเฝ้าอยู่ มีของที่จำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตคนภูขายซึ่งมักเป็นอาหารแห้ง ขนมขบเคี้ยวและยารักษาโรคเบื้องต้น  แต่ร้านขายของชำเล็กๆ ถึงเล็กมากแห่งนี้มีมากกว่านั้น มีเรื่องเล่าให้หัวเราะ ให้อมยิ้ม ให้ขบคิด และมีบทธาให้เก็บเกี่ยวมากมาย